Conjunction คืออะไร? เกี่ยวยังไงกับการสอบ IELTS

ภาษาอังกฤษ ในความคิดของใครหลายคนอาจจะคิดว่า “แค่พูดและสื่อสารได้ ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ?” แน่นอนว่าความคิดนี้อาจจะถูกต้อง และอาจไม่ถูกต้องเสียทีเดียวก็ได้ โดยเฉพาะหากเป็นน้อง ๆ หรือใครก็ตาม ที่ต้องการสอบ IELTS เพื่อใช้ใฝ่หาความรู้ในระดับมหาวิทยาลัยและการทำงานในสายงานที่กว้างกว่า ภาษาอังกฤษและองค์ประกอบต่าง ๆ ในการใช้งาน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยและควรต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

องค์ประกอบในการใช้ภาษาอังกฤษนั้นมีอยู่มากมาย แต่บทความนี้ The Planner จะขอยกเรื่องราวเกี่ยวกับ Conjunction จุดเชื่อมสำคัญในภาษาอังกฤษ มาเล่าให้น้อง ๆ ได้ฟัง สิ่งนี้นั้นคืออะไร? และเป็นประโยชน์อย่างไรกับการสอบ IELTS? มาเข้าใจมากขึ้นไปพร้อมกันดีกว่า

Conjunction คืออะไร

Conjunction หรือภาษาทางการคนไทยจะเรียกว่า คำสันธาน คือ ชนิดของคำที่มีหน้าที่เชื่อมคำ ประโยค วลี หรือประโยคย่อยเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้บ่อยครั้งผู้ใช้ก็อาจจะเรียกมันว่า คำเชื่อม

คำเชื่อม มีประโยชน์เป็นอย่างมากในการช่วยให้รูปประโยคและสารที่เราต้องการจะสื่อออกมามีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน มีความกระชับ และสละสลวยได้มากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ในภาษาอังกฤษเท่านั้นที่จะมีคำเชื่อม แต่คำชนิดนี้ยังอยู่ร่วมกับการสื่อสารในภาษาอื่น ๆ ในโลกรวมถึงภาษาไทยอีกด้วย

คำเชื่อม (Conjunction) มีกี่ประเภท?
Conjunction สามารถแบ่งแยกออกได้ 3 ประเภทด้วยกันคือ

  1. Coordinating conjunctions

คำเชื่อมที่ใช้บ่อยมากที่สุดเลยก็ว่าได้ในภาษาอังกฤษ โดยจะมีหน้าที่เชื่อมคำหรือประโยคสองประโยคที่มีน้ำหนักเท่ากัน หรือมีความสำคัญเท่ากัน โดยเรามักจะเรียกกันติดปากว่า FANBOYS (แฟนบอยส์) ซึ่งทั้ง 7 ตัวในคำนี้มาจากคำเหล่านี้

  • For แปลว่า เพราะว่า
    ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน โดย for จะใช้นำหน้าประโยคที่เป็นเหตุ
    ตัวอย่าง
    I prefer living in the countryside, for it is peaceful and quiet.
    ฉันชอบอยู่ชนบทมากกว่า เพราะว่ามันสงบและไม่วุ่นวายดี
  • And แปลว่า และ
    ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นไปในแนวหรือทิศทางเดียวกัน
    ตัวอย่าง
    The dog ran and jumped into the water.
    หมาตัวนั้นวิ่งและกระโดดลงไปในน้ำ
  • Nor และ Neither แปลว่า ไม่ทั้งสอง
    ใช้เชื่อมสองความคิดที่เป็นเชิงปฏิเสธหรือลบทั้งคู่
    ตัวอย่าง
    I have neither done the dishes nor the laundry.
    ฉันยังไม่ได้ล้างจานหรือซักผ้าสักอย่างเลย
  • But แปลว่า แต่
    ใช้เชื่อมประโยคแบบขัดแย้งกัน ไปคนละอย่างกัน
    ตัวอย่าง
    She is friendly but not very kind.
    หล่อนเป็นคนที่เป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้ใจดีสักเท่าไหร่
  • Or แปลว่า หรือ
    ใช้เชื่อมในประโยคที่แสดงทางเลือก
    ตัวอย่าง
    Do you want tea or coffee?
    เธอต้องการชาหรือกาแฟดี?
  • Yet แปลว่า แต่
    ใช้เชื่อมประโยคที่ขัดแย้งกัน เช่นเดียวกับ But แต่จะมีความหมายค่อนข้าง Soft และทางการกว่า
    ตัวอย่าง
    The dress is too big for me, yet I will wear it anyway.
    ชุดนี้มันใหญ่ไปสำหรับฉัน แต่ถึงยังไงฉันก็จะใส่มันอยู่ดี
  • So แปลว่า ดังนั้น
    ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน
    ตัวอย่าง
    It started to rain so I put up my umbrella.
    ฝนเริ่มตกแล้ว ดังนั้นฉันจึงกางร่ม 
  1. Subordinating Conjunctions

คือคำเชื่อมที่ใช้เชื่อมประโยคหลัก (Main Clause) กับประโยคย่อย (Subordinate Clause) ที่มีความสำคัญไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างได้แก่

  • กลุ่มคำบอกเวลา (Time) เช่น while, when, before, after, as soon as และ until
    ตัวอย่าง
    While I was cycling, my hat flew off.
    ขณะที่ฉันปั่นจักรยาน หมวกก็หลุดปลิวไป
  • กลุ่มคำบอกความยินยอมหรือขัดแย้งกัน (Concession/Contrast) เช่น Although, though, even though, despite และ in spite of
    ตัวอย่าง
    Although it rained every day, students enjoyed playing football.
    แม้ว่าฝนจะตกทุกวัน แต่เหล่านักเรียนก็ยังคงสนุกกับการเล่นฟุตบอลอยู่
  • กลุ่มคำบอกเหตุผล (Reason) เช่น because, since, so that, as และ in order that
    ตัวอย่าง
    Jennie doesn’t go to school because she’s sick.
    เจนนี่ไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะว่าหล่อนไม่สบาย
  • กลุ่มคำที่บอกเงื่อนไข (Condition) เช่น if, provided that, assuming that, as long as, even if และ unless
    ตัวอย่าง
    If we miss the last bus, we’ll have to walk home.
    ถ้าเราพลาดรถบัสคันสุดท้าย เราจะต้องเดินกลับบ้าน 
  1. Correlative Conjunctions

คือคำเชื่อมที่ใช้เชื่อมประโยคที่มีความสำคัญเท่ากันเหมือนกับ Coordinating conjunctions เพียงแต่ต้องใช้คู่กันหรือมาด้วยกันเสมอ เช่น not only….but also, as….as, both….and, rather … than, if … then และ either….or

ตัวอย่าง

  • The car not only is economical but also feels good to drive.
    รถคันนั้นไม่เพียงแต่จะประหยัดพลังงาน แต่ยังให้ความรู้สึกดีในการขับขี่อีกด้วย
  • Charlie is good at both singing and playing piano.
    ชาร์ลีเก่งทั้งเรื่องร้องเพลงและเล่นเปียโน
  • I will either go to Chiang Mai or Phuket for vacation.
    ฉันจะไปเชียงใหม่ไม่ก็ภูเก็ตเพื่อพักผ่อน
  • The girl is as smart as her mom.
    เด็กผู้หญิงคนนั้นฉลาดเหมือนกับแม่ของเธอเลย

Conjunction ทำไมถึงเป็นประโยชน์กับ IELTS?

อย่างที่น้อง ๆ ทราบกันมาแล้วว่า Conjunction จะเป็นตัวช่วยให้รูปประโยคในการสื่อสารของน้อง ๆ มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน และยังช่วยให้ดูสละสลวยมากขึ้น ซึ่งนั่นคือคำตอบ เพราะในการทดสอบภาษาอังกฤษ IELTS การสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ใจความครบถ้วน ร่วมกับประโยคที่สวยงาม ทั้งในพาร์ทการสอบเขียน (IELTS Writing) และในพาร์ทการสอบพูด (IELTS Speaking) จะช่วยให้น้อง ๆ สื่อความหมายในการทดสอบออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และยังช่วยให้คณะกรรมการเกิดความเข้าใจได้ง่ายและประทับใจ ซึ่งตอบรับกับเกณฑ์การให้คะแนน IELTS ด้าน Fluency and Coherence (ความคล่องและความต่อเนื่องทางภาษา) หากน้อง ๆ มีการใช้ Conjunction อย่างเหมาะสม ผลดีตามมาคือคะแนน หรือ Band IELTS ก็จะสูงมากขึ้นด้วยนั่นเอง

อ่านบทความ IELTS Speaking ควรรู้ “Silent Letter” เรื่องออกเสียงหรือไม่ออกเสียง จะเสี่ยงกันไม่ได้! คลิกที่นี่

พื้นฐานภาษาอังกฤษ ไม่ดี ไม่แน่น ไม่แม่น และขาดความมั่นใจในการใช้งาน “ไม่ต้องกังวล” The Planner Education เปิดคอร์สสอนสด IELTS เทรนด์ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของน้อง ๆ ครบทั้ง 4 Skills ทั้ง Listening, Reading, Writing และ Speaking เพิ่มความมั่นใจก่อนไปสอบ IELTS ได้ 100% โดยคุณครูประสบการณ์สอนตรงมากกว่า 3 ปี และพาน้อง ๆ คอร์ส IELTS ได้ Band สูงแล้ว Overall เฉลี่ยที่ 7.0 ต่อคน!!

สนใจติว GED | IGCSE | A-LEVEL | SAT/GSAT | ACT | IELTS | BMAT | TOEFL-MUIC/MUIDS | CU-TEP | CU-AAT | CU-ARTS | TU-GET | IB | AP | Academic Writing ดูรายละเอียดคอร์สเรียนที่สนใจได้เลย!

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Line: @theplanner หรือ Phone: 095-726-2666

เพิ่มเพื่อน
Tags:

Leave a Reply