IELTS & SAT เตรียมตัวยังไง ถ้าอยากได้คะแนนดีแพ็กคู่

ปัจจุบัน หลายมหาวิทยาลัยภาคอินเตอร์และปกติในประเทศไทยและต่างประเทศ มีการกำหนด requiement คะแนนยื่นเข้าออกมามากมาย โดย 2 รูปแบบที่มักใช้ยื่นพร้อมกันนั่นคือ “คะแนนสอบภาษาอังกฤษ และคะแนน SAT” วันนี้พี่ๆ The Planner Education จึงมีข้อมูลและเทคนิคดีๆ ของการเตรียมตัวสอบทั้ง 2 ตัวนี้มาฝากกัน

เลือกสอบภาษาอังกฤษตัวไหนดี?

ข้อสอบภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในขณะนี้ ได้แก่ TOEIC, TOEFL, ETC. แต่ข้อสอบเหล่านี้ มักมีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถยื่นคะแนนได้อย่างครอบคลุม เช่น TOEIC ข้อสอบสำหรับประชาชนทั่วไปในการทำงาน มักไม่ค่อยใช้ในการวัดผลทางภาษาเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนด้าน TOEFL ก็อาจจะยากไปสำหรับนักเรียนที่เพิ่งจบ ม.ปลาย

ในขณะที่ IELTS เป็นข้อสอบที่ไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป สามารถยื่นสมัครงานหรือย้ายถิ่นฐานได้ และยังใช้ยื่นเข้าได้แทบทุกมหาวิทยาลัยทั่วโลกแบบไม่มีข้อกังขา ดังนั้นคะแนนสอบ IELTS จึงนิยมใช้ยื่นมหาวิทยาลัยมากที่สุด

มองภาพรวมให้เข้าใจ มีชัยไปกว่าครึ่ง

IELTS คือ การสอบภาษาอังกฤษ ที่มีคะแนนเต็ม 9 ทดสอบทั้งหมด 4 ทักษะ คือ Listening, Speaking, Reading, และ Writing ระดับความยากง่ายของข้อสอบจะอยู่ช่วงกลางๆ ไปจนถึงยาก แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของน้องๆ แต่ละคนว่ามีทักษะทางภาษาอังกฤษเดิมมากน้อยแค่ไหน โดยสามารถเข้าสอบได้ตลอดปี

SAT คือ การสอบภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ เน้นการใช้เหตุและผลเป็นหลัก คะแนนเต็มของ SAT จะอยู่ที่ 1,600 คะแนน แบ่งเป็นวิชาละ 800 คะแนน SAT ENG จะไม่มีพาร์ท Listening และ Speaking แต่จะเน้นด้านการวิเคราะห์และแกรมม่า ส่วนพาร์ท SAT MATH จะครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่ ม.ต้น จนถึง ม.ปลาย อัปเดตปี 2022 SAT จะเปิดสอบ 5 รอบต่อปี คือ มีนา, พฤษภา, สิงหา, ตุลา และ ธันวา

คะแนนระดับไหน มั่นใจว่าติดชัวร์?
IELTS คณะส่วนใหญ่ในประเทศไทยและต่างประเทศ ต้องการคะแนนตั้งแต่ระดับ 6 ขึ้นไป หรือในบางแห่งอาจ require ถึงระดับ 7 และ 8 ขึ้นไป ดังนั้นถ้าอยากสอบติดชัวร์ การได้คะแนนระดับ 7 เอาไว้ก่อนจะดีที่สุด

ในด้าน SAT คะแนนจะผันไปตามความต้องการของคณะนั้นๆ ที่น้องๆ อยากเข้า แต่ส่วนใหญ่คะแนนรวมที่ต้องการในคณะอินเตอร์ มักจะไม่ต่ำกว่า 1300 ปลายๆ หรือ 1400 ต้นๆ โดยคะแนนของทั้ง IELTS และ SAT สามารถเก็บได้นาน 2 ปี

IELTS & SAT เตรียมตัวก่อนสอบยังไงดี?

  • กำหนดเป้าหมาย ว่าเราจะสามารถทำได้ถึงระดับไหน ได้คะแนนเท่าไหร่ถึงจะสอบติด เพื่อไม่ให้เราหลงทาง
  • กำหนดตารางเวลา ทั้งเวลาอ่านหนังสือและวันสอบจริงให้ชัดเจน และควรฝึกฝนอย่างต่ำวันละ 30 นาที แต่ต้องไม่หักโหม เอาเท่าที่ใจเราไหว
  • ทราบระดับความสามารถของตนเอง ถ้าพื้นฐานอ่อนด้านไหน ก็เน้นและให้เวลาในด้านนั้นมากหน่อย ถ้าพื้นฐานด้าน Reading + Writing ค่อนข้างดี ให้ไปสอบ SAT ก่อน หรือ listening + Speaking ดี ก็อาจจะไปสอบ IELTS ก่อนก็ได้

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวทางและคำแนะนำส่วนหนึ่งจากพี่ๆ The Planner Education เท่านั้น การก้าวผ่านขีดจำกัดและไต่ให้ถึงคณะในฝันด้วยคะแนนที่ดีทั้ง 2 การสอบ เป็นสิ่งที่น้องๆ ต้องเริ่มฝึกฝนด้วยตนเอง พี่ๆ ทุกคนขอเป็นกำลังใจให้ และถ้าหากน้องๆ อยากศึกษารายละเอียดการติวคอร์ส IELTS และติวคอร์ส SAT ให้มากขึ้นแล้วล่ะก็ สามารถกดอ่านเพิ่มเติมที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้เลย

Want to explore more about our IELTS and SAT course?
Connect with us online via LINE: @theplanner or phone: 095-726-2666

เพิ่มเพื่อน
Tags:

Leave a Reply