IELTS สอบอะไรบ้าง? เจาะลึกโครงสร้างข้อสอบ 4 พาร์ท ทั้งฟัง, พูด, อ่าน และเขียน
IELTS ถือเป็นใบเบิกทางสู่การสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในหลักสูตรนานาชาติ การทำความเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดของข้อสอบ IELTS จึงจำเป็นมาก ๆ ก่อนลงสนามสอบจริง
The International English Language Testing System หรือ IELTS คือการทดสอบวัดความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล สามารถใช้ในการสมัครงาน เรียนต่อ หรือขอวีซ่าทำงานต่างประเทศได้ด้วย
การสอบ IELTS จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
- Academic: การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่มีความเป็นทางการ มักใช้กับการสมัครเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา
- General Training: การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ใช้ทั่วไป มักใช้กับการสมัครวีซ่าหรือสมัครเรียนสายวิชาชีพ
แม้ว่าข้อสอบพาร์ท Listening และ Speaking ของการสอบทั้ง 2 ประเภทจะเหมือนกัน แต่ข้อสอบพาร์ท Reading และ Writing มีความแตกต่างกัน โดยรูปแบบข้อสอบและภาษาที่ใช้ของ Academic จะมีความเป็นทางการมากกว่า เพราะฉะนั้นบทความนี้เลยจะโฟกัสที่การสอบประเภท Academic ซึ่งใช้สำหรับการสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยเป็นหลัก
IELTS Structure Overview
พาร์ทข้อสอบ | จำนวนข้อ | เวลาสอบ |
Listening (การฟัง) | 40 ข้อ | 30 นาที |
Reading (การอ่าน) | 40 ข้อ | 60 นาที |
Writing (การเขียน) | 2 พาร์ท | 60 นาที |
Speaking (การพูด) | 3 พาร์ท | 11-14 นาที |
- Listening (การฟัง)
ข้อสอบพาร์ทนี้ของ IELTS จะให้ผู้สอบฟังบทพูดและบทสทนาแล้วเขียนคำตอบ ซึ่งนอกจากจะต้องตอบคำถามให้ถูกต้องแล้วยังต้องสะกดคำและเขียนไวยากรณ์ให้ถูกจึงจะได้คะแนน เช่น ถ้าคำตอบคือ ‘Tests’ แต่เขียนตอบว่า ‘Test’ น้อง ๆ ก็อาจพลาดคะแนนข้อนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากพาร์ท Listening จะวัดทักษะการฟังภาษาอังกฤษและความแม่นของคำศัพท์แล้ว ยังวัดทักษะการทำความเข้าใจใจความสำคัญและรายละเอียดต่าง ๆ ของเนื้อหา โดยข้อสอบแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่
- บทสนทนาระหว่าง 2 บุคคล เกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น การจัดการการเดินทาง
- บทพูดเกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น การปราศรัยเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชน
- บทสนทนาระหว่างบุคคลไม่เกิน 4 คน ในบริบทด้านการศึกษาหรือการฝึกอบรม เช่น บทสนทนาระหว่างอาจารย์และนักศึกษาอีก 2 คน
- บทพูดในหัวข้อเชิงวิชาการ
ผู้สอบจะได้ยินบทพูดและบทสทนาเพียง 1 รอบเท่านั้น ในสำเนียงต่าง ๆ กันทั้งสำเนียงบริทิช, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอเมริกาเหนือ แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเขียนคำตอบไม่ทัน เพราะหลังจากฟังบทพูดแล้วน้อง ๆ จะได้เวลาเพิ่มในการเขียนคำตอบและตรวจสอบความเรียบร้อยทั้งหมดอีกครั้งประมาณ 10 นาที
- Reading (การอ่าน)
ในพาร์ทนี้จะได้อ่านบทความความยาวประมาณ 2,150–2,750 คำ ทั้งหมด 3 พาร์ท โดยเป็นบทความที่นำมาจากหนังสือ, วารสาร, นิตยสาร, หนังสือพิมพ์ และแหล่งข้อมูลทางออนไลน์ มีเนื้อหาเชิงวิชาการแต่เขียนขึ้นสำหรับผู้อ่านที่แม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถเข้าใจได้
บทความแต่ละพาร์ทอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น บทความเชิงบรรยาย การอภิปราย หรือการวิเคราะห์ และจะมีอย่างน้อย 1 บทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการถกเถียงเชิงตรรกะ ในบทความอาจมีไดอะแกรม, กราฟ หรือภาพประกอบ และหากในบทความมีคำศัพท์ทางเทคนิค ก็จะมีคำอธิบายสั้น ๆ ของศัพท์คำนั้นมาให้ด้วย
เช่นเดียวกับข้อสอบ Listening ผู้สอบจะต้องตอบคำถามให้ถูกทั้งไวยากรณ์และคำสะกดจึงจะได้คะแนน แต่ข้อสอบ Reading จะไม่ได้เวลาเพิ่มอีก 10 นาทีสำหรับการเติมคำตอบ เพราะฉะนั้นน้อง ๆ จะต้องตอบคำถามทั้งหมดภายในเวลาสอบ 60 นาทีเลย
- Writing (การเขียน)
ข้อสอบ Writing จะไม่ได้มีคำถามหลายข้อเหมือนพาร์ทอื่น ๆ แต่จะมีโจทย์ให้มาทั้งหมด 2 tasks ในหัวข้อที่มีความเกี่ยวข้องและเหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ให้เวลาทำทั้งหมด 60 นาที
- Task 1: เขียนอธิบายรายละเอียดจากข้อมูลภาพที่ให้มา ไม่ว่าจะเป็นกราฟ, ตาราง, แผนภูมิ หรือไดอะแกรม โดยจะต้องเขียนตอบอย่างน้อย 150 คำ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
- Task 2: เขียนอภิปรายต่อมุมมอง ปัญหา หรือข้อโต้แย้งจากโจทย์ โดยจะต้องเขียนตอบอย่างน้อย 250 คำ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
เกณฑ์การให้คะแนนพาร์ท Writing
เนื่องจากพาร์ทนี้ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัวเหมือนพาร์ท Listening และ Reading ดังนั้นจึงต้องมี IELTS examiner ที่ได้รับการรับรองเพื่อตรวจคำตอบของผู้สอบ โดยพิจารณาจาก 4 ด้าน คือ
- Task achievement/response: พิจารณาความถูกต้อง ความเหมาะสม และความเกี่ยวข้องของคำตอบต่อโจทย์ที่ได้มา เช่น Task 1 จะต้องเขียนข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากกราฟ ที่สำคัญจะต้องเขียนให้ครบตามจำนวนคำที่กำหนดไว้
- Coherence and cohesion: พิจารณาว่าการเขียนของน้อง ๆ มีความชัดเจนและความถูกต้องทางด้านภาษาเพียงใด รวมถึงวิธีการจัดระเบียบความคิดและข้อมูลต่าง ๆ
- Lexical resource: ส่วนนี้จะเป็นการประเมินคลังศัพท์ของน้อง ๆ โดยพิจารณาความหลากหลายของศัพท์ที่ใช้ รวมถึงการเลือกใช้คำที่มีความถูกต้องและเหมาะสม
- Grammatical range and accuracy: ประเมินความหลากหลายในการใช้ไวยากรณ์ รวมถึงความถูกต้องและความเหมาะสมในการใช้
ทั้งนี้ Task 2 จะมีสัดส่วนคะแนนมากกว่า Task 1 ถึงสองเท่า และยังต้องเขียนด้วยจำนวนคำที่มากกว่าด้วย The Planner เลยอยากแนะนำให้ใช้เวลากับ Task 1 ไม่เกิน 20 นาที เพราะยิ่งน้อง ๆ ใช้เวลากับ Task 1 มากเท่าไหร่ แปลว่าน้อง ๆ จะมีเวลาตอบคำถาม Task 2 น้อยลง
- Speaking (การพูด)
การสอบ Speaking ของ IELTS ไม่ได้เป็นเพียงการอัดเสียงถาม-ตอบกับคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่น้อง ๆ จะได้สอบสัมภาษณ์กับ examiner ตัวจริงแบบ face-to-face เลย ทั้งนี้จะยังมีการอัดเสียงบทสนทนาของน้อง ๆ เอาไว้เพื่อใช้ในการพิจารณาให้คะแนนในภายหลัง การสอบพูดมีทั้งหมด 3 พาร์ท คือ
- Part 1: การแนะนำตัวและถามคำถามทั่วไปเกี่ยวกับตัวผู้สอบ เช่น บ้าน, ครอบครัว, การทำงาน, การเรียน และงานอดิเรก เป็นต้น
- Part 2: ผู้สอบจะได้แผ่นการ์ดสุ่มหัวข้อขึ้นมาหนึ่งหัวข้อและต้องพูดเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ เป็นเวลา 1-2 นาที โดยหลังจากทราบหัวข้อแล้วจะมีเวลาเตรียมตัวตอบคำถาม 1 นาที สามารถจด short note เพื่อร่างสิ่งที่จะพูดได้
- Part 3: หลังจบพาร์ทก่อนหน้า examiner จะถามคำถามและถกเถียงเกี่ยวกับหัวข้อที่ได้พูดก่อนหน้ากับผู้สอบ ใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที
เกณฑ์การให้คะแนนพาร์ท Speaking
ในการสอบพูด examiner จะมีเกณฑ์ให้คะแนนกับน้อง ๆ ดังนี้
- Fluency and coherence: ประเมินว่าผู้สอบสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีในระดับไหน สามารถโต้ตอบได้เลยโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน และยังสามารถเรียงลำดับความคิดและประโยคได้อย่างถูกต้อง มีการใช้คำเชื่อมต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายขึ้น
- Lexical resource: ประเมินจากคลังศัพท์ของผู้สอบว่าสามารถใช้คำศัพท์ที่มีความหลากหลายได้ไหม แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้ศัพท์ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับบริบท รวมถึงพิจารณาเมื่อผู้สอบนึกศัพท์ที่จะใช้ไม่ออกแต่สามารถเลือกคำอื่นในการอธิบายแทนคำนั้น ๆ ได้
- Grammatical range and accuracy: ประเมินความหลากหลายในการใช้ไวยากรณ์ รวมถึงความถูกต้องและความเหมาะสมในการใช้
- Pronunciation: ประเมินจากสำเนียงและการออกเสียงที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากจนเกินไป
อ่านเทคนิคทำอย่างไรให้สอบ IELTS Speaking ได้แบนด์สูง คลิก
ทั้งหมดนี้เป็นโครงสร้างของข้อสอบ IELTS ทั้ง 4 พาร์ท ซึ่งจะยังไม่ได้เจาะลึกถึงเนื้อหาของข้อสอบอย่างละเอียด แต่ถ้าน้อง ๆ สมัครเรียน IELTS กับ The Planner นอกจากจะได้เรียนเนื้อหาทั้งหมดแล้วยังได้ติวเทคนิคการทำข้อสอบแบบละเอียด พร้อมพาน้อง ๆ ทะยานสู่ Band 6.0+
เคล็ด (ไม่) ลับเตรียมความพร้อมก่อนสอบ IELTS
- เข้าใจรูปแบบของข้อสอบ แม้ว่าพื้นฐานภาษาอังกฤษของน้อง ๆ จะดีอยู่แล้ว แต่การสอบ IELTS ไม่ได้วัดเพียงทักษะภาษา แต่ยังประเมินทักษะการจัดลำดับความคิดและการจัดการเวลาด้วย ดังนั้นน้อง ๆ จึงควรทำความเข้าใจกับรูปแบบ โครงสร้าง และประเภทของคำถาม เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับข้อสอบ
- ฝึกทำข้อสอบอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่า Practice Makes Perfect ใช้ได้กับทุกอย่างแม้แต่การสอบ IELTS การฝึกทำข้อสอบเป็นประจำจะช่วยให้น้อง ๆ รู้จุดแข็งและจุดอ่อนที่จะต้องพัฒนาเพิ่ม หากน้อง ๆ ติว IELTS กับ The Planner จะได้รับสิทธิ์ Mock Test ฟรี! สอบเสมือนจริงเพื่อประเมินทักษะก่อนลงสนาม
- หมั่นพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ หากิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะฟัง พูด อ่าน เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เช่น การอ่านหนังสือหรือดูภาพยนตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่การฝึกพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนหรือคนรอบข้าง
- ลงคอร์สติวเพิ่มเติม การเรียนด้วยตัวเองอาจจะช่วยเตรียมตัวได้ในระดับหนึ่ง แต่หากมีครูที่มีความเชี่ยวชาญช่วยแนะนำเทคนิคในการทำข้อสอบ รวมถึงช่วยประเมินทักษะการเขียนและการพูดได้จะยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจในการสอบได้มากยิ่งขึ้น
ทำไมถึงควรติว IELTS กับ The Planner
- มีการันตี Band 6.0+ หากสอบแล้วได้คะแนนไม่ถึง สามารถกลับมาเรียนซ้ำใหม่ได้ ฟรี!
- มี Mock Test การสอบเสมือนจริงหลังเรียน ช่วยประเมินความพร้อมของน้อง ๆ ก่อนสอบ
- มีคุณครูผู้เชียวชาญและประสบการณ์ด้านการสอน IELTS พร้อมให้คำแนะนำ
- สอนตรงตามเกณฑ์การคำนวณคะแนนเพื่อเรียนวิธีการทำข้อสอบไม่ให้พลาด Band 6.0+
และข้อดีอีกมากมายที่ช่วยให้น้อง ๆ ได้คะแนนถึงเป้าหมายพร้อมบริการ All in One Service ช่วยวางแผนให้น้อง ๆ ตั้งแต่ก่อนสมัครเรียนจนถึงเข้ามหาวิทยาลัย!
สมัครติวได้แล้ววันนี้ พร้อมสิทธิ์การันตี Band 6.0+ แอดไลน์
สนใจติว GED | IGCSE | A-LEVEL | SAT | IELTS | ACT | GSAT | TOEFL-MUIC/MUIDS | CU-TEP | CU-AAT | CU-ATS | TU-GET | IB | AP | Academic Writing
ดูรายละเอียดคอร์สเรียนที่สนใจได้เลย!