เจาะลึกโครงสร้างข้อสอบ IELTS 4 พาร์ท พาคะแนนทะยานสู่ BAND 6.0+

IELTS สอบอะไรบ้าง? เจาะลึกโครงสร้างข้อสอบ 4 พาร์ท ทั้งฟัง, พูด, อ่าน และเขียน

IELTS ถือเป็นใบเบิกทางสู่การสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในหลักสูตรนานาชาติ การทำความเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดของข้อสอบ IELTS จึงจำเป็นมาก ๆ ก่อนลงสนามสอบจริง

The International English Language Testing System หรือ IELTS คือการทดสอบวัดความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล สามารถใช้ในการสมัครงาน เรียนต่อ หรือขอวีซ่าทำงานต่างประเทศได้ด้วย 

การสอบ IELTS จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

  • Academic: การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่มีความเป็นทางการ มักใช้กับการสมัครเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา
  • General Training: การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ใช้ทั่วไป มักใช้กับการสมัครวีซ่าหรือสมัครเรียนสายวิชาชีพ

แม้ว่าข้อสอบพาร์ท Listening และ Speaking ของการสอบทั้ง 2 ประเภทจะเหมือนกัน แต่ข้อสอบพาร์ท Reading และ Writing มีความแตกต่างกัน โดยรูปแบบข้อสอบและภาษาที่ใช้ของ Academic จะมีความเป็นทางการมากกว่า เพราะฉะนั้นบทความนี้เลยจะโฟกัสที่การสอบประเภท Academic ซึ่งใช้สำหรับการสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยเป็นหลัก

IELTS Structure Overview

พาร์ทข้อสอบ จำนวนข้อ เวลาสอบ
Listening (การฟัง) 40 ข้อ 30 นาที
Reading (การอ่าน) 40 ข้อ 60 นาที
Writing (การเขียน) 2 พาร์ท 60 นาที
Speaking (การพูด) 3 พาร์ท  11-14 นาที
  1. Listening (การฟัง)

ข้อสอบพาร์ทนี้ของ IELTS จะให้ผู้สอบฟังบทพูดและบทสทนาแล้วเขียนคำตอบ ซึ่งนอกจากจะต้องตอบคำถามให้ถูกต้องแล้วยังต้องสะกดคำและเขียนไวยากรณ์ให้ถูกจึงจะได้คะแนน เช่น ถ้าคำตอบคือ ‘Tests’ แต่เขียนตอบว่า ‘Test’ น้อง ๆ ก็อาจพลาดคะแนนข้อนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

นอกจากพาร์ท Listening จะวัดทักษะการฟังภาษาอังกฤษและความแม่นของคำศัพท์แล้ว ยังวัดทักษะการทำความเข้าใจใจความสำคัญและรายละเอียดต่าง ๆ ของเนื้อหา โดยข้อสอบแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่

  1. บทสนทนาระหว่าง 2 บุคคล เกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น การจัดการการเดินทาง
  2. บทพูดเกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น การปราศรัยเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชน
  3. บทสนทนาระหว่างบุคคลไม่เกิน 4 คน ในบริบทด้านการศึกษาหรือการฝึกอบรม เช่น บทสนทนาระหว่างอาจารย์และนักศึกษาอีก 2 คน
  4. บทพูดในหัวข้อเชิงวิชาการ

ผู้สอบจะได้ยินบทพูดและบทสทนาเพียง 1 รอบเท่านั้น ในสำเนียงต่าง ๆ กันทั้งสำเนียงบริทิช, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอเมริกาเหนือ แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเขียนคำตอบไม่ทัน เพราะหลังจากฟังบทพูดแล้วน้อง ๆ จะได้เวลาเพิ่มในการเขียนคำตอบและตรวจสอบความเรียบร้อยทั้งหมดอีกครั้งประมาณ 10 นาที

  1. Reading (การอ่าน)

ในพาร์ทนี้จะได้อ่านบทความความยาวประมาณ 2,150–2,750 คำ ทั้งหมด 3 พาร์ท โดยเป็นบทความที่นำมาจากหนังสือ, วารสาร, นิตยสาร, หนังสือพิมพ์ และแหล่งข้อมูลทางออนไลน์ มีเนื้อหาเชิงวิชาการแต่เขียนขึ้นสำหรับผู้อ่านที่แม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถเข้าใจได้

 บทความแต่ละพาร์ทอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น บทความเชิงบรรยาย การอภิปราย หรือการวิเคราะห์ และจะมีอย่างน้อย 1 บทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการถกเถียงเชิงตรรกะ ในบทความอาจมีไดอะแกรม, กราฟ หรือภาพประกอบ และหากในบทความมีคำศัพท์ทางเทคนิค ก็จะมีคำอธิบายสั้น ๆ ของศัพท์คำนั้นมาให้ด้วย 

เช่นเดียวกับข้อสอบ Listening ผู้สอบจะต้องตอบคำถามให้ถูกทั้งไวยากรณ์และคำสะกดจึงจะได้คะแนน แต่ข้อสอบ Reading จะไม่ได้เวลาเพิ่มอีก 10 นาทีสำหรับการเติมคำตอบ เพราะฉะนั้นน้อง ๆ จะต้องตอบคำถามทั้งหมดภายในเวลาสอบ 60 นาทีเลย

  1. Writing (การเขียน)

ข้อสอบ Writing จะไม่ได้มีคำถามหลายข้อเหมือนพาร์ทอื่น ๆ แต่จะมีโจทย์ให้มาทั้งหมด 2 tasks ในหัวข้อที่มีความเกี่ยวข้องและเหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ให้เวลาทำทั้งหมด 60 นาที

  • Task 1: เขียนอธิบายรายละเอียดจากข้อมูลภาพที่ให้มา ไม่ว่าจะเป็นกราฟ, ตาราง, แผนภูมิ หรือไดอะแกรม โดยจะต้องเขียนตอบอย่างน้อย 150 คำ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
  • Task 2: เขียนอภิปรายต่อมุมมอง ปัญหา หรือข้อโต้แย้งจากโจทย์ โดยจะต้องเขียนตอบอย่างน้อย 250 คำ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที

เกณฑ์การให้คะแนนพาร์ท Writing

เนื่องจากพาร์ทนี้ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัวเหมือนพาร์ท Listening และ Reading ดังนั้นจึงต้องมี IELTS examiner ที่ได้รับการรับรองเพื่อตรวจคำตอบของผู้สอบ โดยพิจารณาจาก 4 ด้าน คือ

  • Task achievement/response: พิจารณาความถูกต้อง ความเหมาะสม และความเกี่ยวข้องของคำตอบต่อโจทย์ที่ได้มา เช่น Task 1 จะต้องเขียนข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากกราฟ ที่สำคัญจะต้องเขียนให้ครบตามจำนวนคำที่กำหนดไว้
  • Coherence and cohesion: พิจารณาว่าการเขียนของน้อง ๆ มีความชัดเจนและความถูกต้องทางด้านภาษาเพียงใด รวมถึงวิธีการจัดระเบียบความคิดและข้อมูลต่าง ๆ
  • Lexical resource: ส่วนนี้จะเป็นการประเมินคลังศัพท์ของน้อง ๆ โดยพิจารณาความหลากหลายของศัพท์ที่ใช้ รวมถึงการเลือกใช้คำที่มีความถูกต้องและเหมาะสม
  • Grammatical range and accuracy: ประเมินความหลากหลายในการใช้ไวยากรณ์ รวมถึงความถูกต้องและความเหมาะสมในการใช้

ทั้งนี้ Task 2 จะมีสัดส่วนคะแนนมากกว่า Task 1 ถึงสองเท่า และยังต้องเขียนด้วยจำนวนคำที่มากกว่าด้วย The Planner เลยอยากแนะนำให้ใช้เวลากับ Task 1 ไม่เกิน 20 นาที เพราะยิ่งน้อง ๆ ใช้เวลากับ Task 1 มากเท่าไหร่ แปลว่าน้อง ๆ จะมีเวลาตอบคำถาม Task 2 น้อยลง

  1. Speaking (การพูด)

การสอบ Speaking ของ IELTS ไม่ได้เป็นเพียงการอัดเสียงถาม-ตอบกับคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่น้อง ๆ จะได้สอบสัมภาษณ์กับ examiner ตัวจริงแบบ face-to-face เลย ทั้งนี้จะยังมีการอัดเสียงบทสนทนาของน้อง ๆ เอาไว้เพื่อใช้ในการพิจารณาให้คะแนนในภายหลัง การสอบพูดมีทั้งหมด 3 พาร์ท คือ

  • Part 1: การแนะนำตัวและถามคำถามทั่วไปเกี่ยวกับตัวผู้สอบ เช่น บ้าน, ครอบครัว, การทำงาน, การเรียน และงานอดิเรก เป็นต้น
  • Part 2: ผู้สอบจะได้แผ่นการ์ดสุ่มหัวข้อขึ้นมาหนึ่งหัวข้อและต้องพูดเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ เป็นเวลา 1-2 นาที โดยหลังจากทราบหัวข้อแล้วจะมีเวลาเตรียมตัวตอบคำถาม 1 นาที สามารถจด short note เพื่อร่างสิ่งที่จะพูดได้
  • Part 3: หลังจบพาร์ทก่อนหน้า examiner จะถามคำถามและถกเถียงเกี่ยวกับหัวข้อที่ได้พูดก่อนหน้ากับผู้สอบ ใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที

เกณฑ์การให้คะแนนพาร์ท Speaking

ในการสอบพูด examiner จะมีเกณฑ์ให้คะแนนกับน้อง ๆ ดังนี้

  • Fluency and coherence: ประเมินว่าผู้สอบสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีในระดับไหน สามารถโต้ตอบได้เลยโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน และยังสามารถเรียงลำดับความคิดและประโยคได้อย่างถูกต้อง มีการใช้คำเชื่อมต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายขึ้น
  • Lexical resource: ประเมินจากคลังศัพท์ของผู้สอบว่าสามารถใช้คำศัพท์ที่มีความหลากหลายได้ไหม แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้ศัพท์ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับบริบท รวมถึงพิจารณาเมื่อผู้สอบนึกศัพท์ที่จะใช้ไม่ออกแต่สามารถเลือกคำอื่นในการอธิบายแทนคำนั้น ๆ ได้
  • Grammatical range and accuracy: ประเมินความหลากหลายในการใช้ไวยากรณ์ รวมถึงความถูกต้องและความเหมาะสมในการใช้
  • Pronunciation: ประเมินจากสำเนียงและการออกเสียงที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากจนเกินไป

อ่านเทคนิคทำอย่างไรให้สอบ IELTS Speaking ได้แบนด์สูง คลิก

ทั้งหมดนี้เป็นโครงสร้างของข้อสอบ IELTS ทั้ง 4 พาร์ท ซึ่งจะยังไม่ได้เจาะลึกถึงเนื้อหาของข้อสอบอย่างละเอียด แต่ถ้าน้อง ๆ สมัครเรียน IELTS กับ The Planner นอกจากจะได้เรียนเนื้อหาทั้งหมดแล้วยังได้ติวเทคนิคการทำข้อสอบแบบละเอียด พร้อมพาน้อง ๆ ทะยานสู่ Band 6.0+

เคล็ด (ไม่) ลับเตรียมความพร้อมก่อนสอบ IELTS

  • เข้าใจรูปแบบของข้อสอบ แม้ว่าพื้นฐานภาษาอังกฤษของน้อง ๆ จะดีอยู่แล้ว แต่การสอบ IELTS ไม่ได้วัดเพียงทักษะภาษา แต่ยังประเมินทักษะการจัดลำดับความคิดและการจัดการเวลาด้วย ดังนั้นน้อง ๆ จึงควรทำความเข้าใจกับรูปแบบ โครงสร้าง และประเภทของคำถาม เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับข้อสอบ
  • ฝึกทำข้อสอบอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่า Practice Makes Perfect ใช้ได้กับทุกอย่างแม้แต่การสอบ IELTS การฝึกทำข้อสอบเป็นประจำจะช่วยให้น้อง ๆ รู้จุดแข็งและจุดอ่อนที่จะต้องพัฒนาเพิ่ม หากน้อง ๆ ติว IELTS กับ The Planner จะได้รับสิทธิ์ Mock Test ฟรี! สอบเสมือนจริงเพื่อประเมินทักษะก่อนลงสนาม
  • หมั่นพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ หากิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะฟัง พูด อ่าน เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เช่น การอ่านหนังสือหรือดูภาพยนตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่การฝึกพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนหรือคนรอบข้าง
  • ลงคอร์สติวเพิ่มเติม การเรียนด้วยตัวเองอาจจะช่วยเตรียมตัวได้ในระดับหนึ่ง แต่หากมีครูที่มีความเชี่ยวชาญช่วยแนะนำเทคนิคในการทำข้อสอบ รวมถึงช่วยประเมินทักษะการเขียนและการพูดได้จะยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจในการสอบได้มากยิ่งขึ้น

ทำไมถึงควรติว IELTS กับ The Planner

  • มีการันตี Band 6.0+ หากสอบแล้วได้คะแนนไม่ถึง สามารถกลับมาเรียนซ้ำใหม่ได้ ฟรี!
  • มี Mock Test การสอบเสมือนจริงหลังเรียน ช่วยประเมินความพร้อมของน้อง ๆ ก่อนสอบ
  • มีคุณครูผู้เชียวชาญและประสบการณ์ด้านการสอน IELTS พร้อมให้คำแนะนำ
  • สอนตรงตามเกณฑ์การคำนวณคะแนนเพื่อเรียนวิธีการทำข้อสอบไม่ให้พลาด Band 6.0+

และข้อดีอีกมากมายที่ช่วยให้น้อง ๆ ได้คะแนนถึงเป้าหมายพร้อมบริการ All in One Service ช่วยวางแผนให้น้อง ๆ ตั้งแต่ก่อนสมัครเรียนจนถึงเข้ามหาวิทยาลัย!

สมัครติวได้แล้ววันนี้ พร้อมสิทธิ์การันตี Band 6.0+ แอดไลน์

สนใจติว GED | IGCSE | A-LEVEL | SAT | IELTS | ACT | GSAT | TOEFL-MUIC/MUIDS | CU-TEP | CU-AAT | CU-ATS | TU-GET | IB | AP | Academic Writing

ดูรายละเอียดคอร์สเรียนที่สนใจได้เลย!

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Line: @theplanner หรือ Phone: 095-726-2666

เพิ่มเพื่อน

Leave a Reply