Adaptive Testing คืออะไร? ทำไมก่อนสอบ Digital SAT ต้องรู้จัก

สำหรับการเข้าสอบ Digital SAT หลายคนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าเป็นการสอบ Aptitude Test ที่เปลี่ยนจากการสอบในกระดาษ มาเป็นการสอบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และสิ่งหนึ่งที่น้อง ๆ จะไม่รู้จักไม่ได้เลย นั่นคือ “ระบบการสอบที่เป็น Adaptive Testing” ซึ่งพลิกโฉมการสอบแบบเดิม ๆ ออกไปอย่างสิ้นเชิงเลย Adaptive Testing คืออะไร? มีผลยังไงกับคนที่สอบ Digital SAT และน้อง ๆ ที่กำลังเตรียมสอบ SAT อยู่ควรต้องรู้อะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง บทความนี้ The Planner มีข้อมูลดี ๆ มาฝากกัน

Adaptive Testing คืออะไร? 

Adaptive Testing คือ การทดสอบแบบปรับอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์ หรือข้อสอบที่มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการทดสอบตามความสามารถหรือคุณลักษณะแฝงของผู้สอบแบบ realtime ซึ่งคำนวณจาก Performance ของผู้สอบในข้อก่อนหน้านี้ โดยข้อสอบแบบ Adaptive Testing ปัจจุบันนิยมสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ลักษณะเดียวกัน ที่สามารถใช้โปรแกรมเข้ามาคำนวณข้อสอบได้ เช่น Laptop, Tablet หรือ Smartphone (แต่อุปกรณ์นี้มักไม่นิยมใช้ทดสอบในลักษณะสำคัญ ๆ)

ทำไมต้องใช้ Adaptive Testing ในการสอบ Digital SAT?

ข้อสอบ Digital SAT ที่มีระบบเป็น Adaptive Testing อธิบายได้ง่าย ๆ ก็คือ ถ้าน้อง ๆ ทำคะแนนในข้อสอบชุดแรก (Module 1) ได้ดี ชุดถัดไป (Module 2) จะมีความยากขึ้น และจะมีโอกาสคว้าคะแนนรวมสูงสุดในพาร์ทได้มากขึ้นด้วย ซึ่งระบบ Adaptive Testing นี้เอง จะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากการสอบ SAT แบบเดิม (Paper-based) ที่เป็นข้อสอบกระดาษชุดเดียวกัน ใช้มาตรฐานเดียวกันวัดผลทุกคนที่สอบในรอบสอบนั้น ๆ 

ดังนั้น Digital SAT ที่ใช้ระบบ Adaptive Testing เข้ามาทดสอบ จึงช่วยให้น้อง ๆ ได้ทำข้อสอบในระดับที่เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น” 

โดยหน่วยงานจัดสอบ SAT ในประเทศไทย ได้มีการเริ่มใช้ระบบสอบแบบ Adaptive Testing อย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่การเริ่มสอบ Digital SAT ครั้งแรก เมื่อ 11 มีนาคม 2023 ที่ผ่านมา
อ่านบทความ SAT Digital คืออะไร? รวมทุกข้อมูลอัปเดตล่าสุด! คลิกที่นี่

 

ข้อดีและข้อเสียของข้อสอบ Digital SAT แบบ Adaptive Testing?

ข้อดี

  • ได้ทำข้อสอบในระดับที่เหมาะสมกับตัวเรา
    ระบบ Adaptive Testing จะประมวลผลข้อสอบใน Module ที่ 2 ให้มีความยากง่ายเป็นไปตามที่เราทำได้ใน Module ที่ 1 หากน้องคนไหนเตรียมตัวมาดี สกิลเป๊ะปังทุกพาร์ทมาแล้วก็สบายหายห่วง แต่ถ้าหากเป็นน้อง ๆ ที่ค่อนข้างกังวลว่าตัวเองจะไปเจอข้อที่ยากเกินจะทำได้ และกลัวเสียคะแนนไปเปล่า ๆ ตัวระบบ Adaptive Testing นี้เอง ก็จะช่วยน้อง ๆ กลุ่มนั้นสามารถทำคะแนนได้ในข้อที่ระบบคาดว่าน่าจะทำไหว
  • ข้อสอบจำนวนน้อยลงและใช้เวลาทดสอบน้อยลง
    เนื่องจากเป็นการทดสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์และมีการประมวลผลการสอบแบบ Adaptive Testing ข้อสอบจึงสามารถลดจำนวนข้อ กระบวนการและเวลาลงได้ตามเหมาะสม เพราะถึงแม้จำนวนข้อจะลดลง หรือเนื้อหาบางส่วนน้อยลง แต่ประสิทธิภาพในการวัดผลของผู้สอบดีขึ้น และแม่นยำขึ้นด้วยก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
  • คนไปสอบรอบถัด ๆ ไปอาจได้ข้อสอบที่เสถียรขึ้น
    ด้วยตัวข้อสอบ Digital SAT สามารถวัดผลผู้เข้าสอบได้ผ่านการคำนวณในระบบคอมพิวเตอร์ หากเกิดกรณีในรอบสอบหนึ่ง ๆ พบความผิดปกติของคะแนน หรือมีผลลัพธ์ของผู้สอบที่ไม่ตรงตามเกณฑ์ที่ระบบสอบคาดการณ์ไว้ ทางระบบสอบที่มีการอัปเดตข้อสอบใหม่เสมอก็อาจจะมีการปรับปรุงข้อสอบหรือการสอบให้เสถียรต่อผู้เข้าสอบรอบถัดไปได้มากขึ้น
  • ลอกข้อสอบกันยากขึ้น
    เนื่องด้วยระบบ Adaptive Testing จะคัดเลือกข้อสอบมาให้ตาม Performance ของแต่ละผู้เข้าสอบ ดังนั้นน้อง ๆ หลาย ๆ คนในห้องสอบจึงมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เจอโจทย์เดียวกัน ในลำดับข้อที่ตรงกัน จึงลดความกังวลลงไปได้ทั้งหน่วยงานสอบเองและตัวผู้เข้าสอบในเรื่องของการลอกคำตอบที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสอบ

 

ข้อเสีย

  • ถ้าทำข้อสอบชุดแรกได้น้อย จะมีโอกาสได้คะแนนสูงน้อยลงไปด้วย ต่อให้ทำข้อสอบชุดถัดมาได้คะแนนเต็ม
    อ้างอิงจากโครงสร้างการสอบ Digital SAT แบบ Adaptive Testing
    Module 1) ผู้สอบจะเจอข้อสอบที่คละกันระหว่าง ง่าย > ปานกลาง > ยาก
    Module 2) ผู้สอบจะเจอข้อสอบที่ระบบเลือกมาให้แล้ว (ยากขึ้น) จากการคำนวณผ่านข้อสอบที่ทำได้ใน Module ที่ 1
    หากน้อง ๆ ทำคะแนนสอบในส่วนของ Module ที่ 1 ได้น้อย หรือผิดพลาดติดต่อกันเยอะ ๆ น้อง ๆ ก็จะถูกปรับระดับลงมาอัตโนมัติใน Module ที่ 2 (ไม่เจอข้อท้าทายเท่าไหร่) แน่นอนว่าโอกาสคว้า SAT High Score 660 ขึ้นไป จะแทบเป็นไปไม่ได้เลย ถึงแม้น้อง ๆ จะสอบ Module 2 ไม่ผิดเลยก็ตาม ดังนั้น ข้อสอบ Digital SAT Module ที่ 1 สำคัญมาก ๆ เลยนะ
  • ระบบอาจคำนวณผิดพลาดได้
    Digital SAT แบบ Adaptive Testing อย่างที่ทราบกันดีว่าต้องสอบผ่านคอมพิวเตอร์ Laptop หรือ Tablet ซึ่งจริง ๆ แล้วระบบนี้เป็นที่ยอมรับทั่วโลกอยู่แล้วในเรื่องของความแม่นยำ แต่ทั้งนี้ หากมองในด้านของเทคโนโลยีและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็อาจจะมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดระหว่างสอบได้เหมือนกันจากหลายสาเหตุ เช่น อุปกรณ์ของผู้สอบรวน ค้าง หรือตัวระบบเองที่ Error ปัญหาเหล่านี้อาจจะส่งผลต่อการคำนวณข้อสอบที่เหมาะสม หรือการคิดคะแนนของผู้เข้าสอบ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ได้ 

 

เตรียมสอบ Digital SAT (Adaptive Testing) ยังไง ให้ได้คะแนนสูง?

  • อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบควรพร้อมเสมอ
    เพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการสอบ น้อง ๆ ควรเคลียร์อุปกรณ์สอบของตัวเอง (คอมพิวเตอร์, Laptop หรือ Tablet) ให้พร้อมที่สุดก่อนเริ่มเข้าสอบ โดยล้างไฟล์ขยะ ลบแอปพลิเคชั่นที่ไม่จำเป็น หรือสิ่งที่อาจจะขัดขวางระบบการทำงานของแอปพลิเคชั่น Bluebook ที่ใช้สอบ SAT
  • ติดตั้งและฝึกใช้แอปพลิเคชั่น Bluebook ให้คล่อง
    Bluebook คือแอปพลิเคชั่นสำคัญสำหรับสอบ Digital SAT โดยมีระบบ Adaptive Testing มาช่วยคำนวณข้อสอบหลังบ้าน ซึ่งก่อนที่จะเข้ารับการทดสอบ Digital SAT จริง น้อง ๆ สามารถดาวน์โหลดตัวแอปพลิเคชั่น และทดลองทำข้อสอบในส่วนของ Test Preview และ Full-Length Practice ก่อนได้ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับตัวแอป และเห็นภาพรวมของข้อสอบมากขึ้นก่อนเข้าสอบจริง
  • ข้อสอบ Module 1 ควรทำให้ได้เยอะ ๆ
    อย่างที่น้อง ๆ ได้ทราบกันมาแล้วว่าข้อสอบ Digital SAT ใน Module ที่ 1 นั้น จะมีทั้งข้อยาก ข้อปานกลาง และข้อง่ายผสมปะปนกันไป ข้อสอบชุดนี้นี่เอง ที่จะเป็นตัวกำหนดอนาคตน้อง ๆ ว่าจะมีโอกาสเจอข้อคะแนนสูง ๆ ใน Module ที่ 2 หรือไม่ และจะสามารถพิชิตคะแนนสอบ Digital SAT ที่ 660 ขึ้นไปได้หรือไม่
    ดังนั้น ใน Module ที่ 1 นี้เอง น้อง ๆ จึงควรเก็บคะแนนสอบให้ได้มากที่สุดเข้าไว้ก่อน อย่างน้อย ๆ น้อง ๆ ก็จะพอมีโอกาสเข้าไปสู้กับข้อยากใน Module ที่ 2 เพื่อช่วงชิงคะแนนระดับสูงมา ดีกว่าไม่ได้เข้ารอบเลย และได้ไปทำข้อสอบในระดับที่น้อยกว่านะ (อย่างนั้นเท่ากับว่าเราทิ้งโอกาสคว้าคะแนนสูง ๆ ไปเลยแน่ ๆ)
  • ตอบข้อสอบให้ครบทุกข้อเสมอ อย่าปล่อยว่างไว้
    คะแนนดี ๆ จะมีได้ น้อง ๆ ต้องมีความรอบคอบ และมีการบริหารเวลาที่ดีด้วยนะ ถ้าโจทย์ไหนน้อง ๆ ทำได้ให้ทำไปก่อนเลย (ข้อสอบจริงกดกลับไปกลับมาได้) และหากเจอข้อไหนที่ยังไม่มั่นใจ ให้น้อง ๆ กด Mark for Review ในหน้าข้อสอบไว้ก่อนเพื่อให้ไม่ลืมกลับมาทำอีกครั้ง หรือกลับมาทวนซ้ำก่อนกดส่งคำตอบ

และหากว่าในท้ายที่สุด เวลาจะหมดลงแล้วแต่ยังตอบไม่ครบ แนะนำให้รีบตัดช้อยส์ให้เร็วที่สุดแล้วกดคำตอบที่คิดว่าใช่ไปให้ครบ เพราะน้อง ๆ อาจมีโอกาสตอบถูกบ้างก็ได้ แต่ถ้าน้อง ๆ ลืมตอบหรือไม่ได้ตอบข้อไหนไปเลย ระบบจะคำนวณว่าน้อง ๆ ไม่พร้อมต่อการทำข้อสอบข้อนั้น ๆ และอาจทำให้ Module ที่ 2 น้อง ๆ พลาดโอกาสเจอข้อท้าทายและได้คะแนนน้อยไปอย่างน่าเสียดาย

อ่านบทความ Bluebook คืออะไร? ทำไมเด็กที่สอบ SAT ทุกคนต้องรู้จัก คลิกที่นี่

เห็นได้ว่าข้อสอบ Digital SAT ที่มีระบบ Adaptive Testing เข้ามาช่วยจัดการค่อนข้างมีความท้าทายมากกว่าระบบการสอบแบบเก่าในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ The Planner เชื่อว่าหากน้อง ๆ ทุกคนได้รับการฝึนฝน และติวสอบ Digital SATมาเป็นอย่างดีแล้ว SAT High Score ไม่มีทางที่จะหลุดมือไปได้แน่นอน

หากใครกำลังมองหาสถาบันติวสอบ SAT หรือคอร์สติว Digital SAT ในเนื้อหาที่อัปเดตล่าสุด! คอร์ส SAT ที่ The Planner Education พร้อมเปิดที่นั่งต้อนรับน้อง ๆ ที่อยากเจาะเนื้อหา ทั้ง Content และตะลุยโจทย์ Paper Practice แบบเน้น ๆ หลักสูตรจากทางสถาบันเป็นแบบระยะสั้น สอนสด สรุปทุกอย่างมาให้แล้วโดยคุณครูประสบการณ์สอนตรงสาย ที่พาน้อง ๆ มากกว่า 2,000 คนจบการศึกษา สอบผ่าน และได้คะแนนสูงในหลักสูตรการสอบอินเตอร์มาแล้วมากมาย

 
SAT 1400++ ทำได้!! ให้คอร์สติว SAT ที่ The Planner Education พาน้อง ๆ ไปถึงฝันนั้นด้วยกันนะ

สนใจติว GED | IGCSE | A-LEVEL | SAT | IELTS | ACT | GSAT | TOEFL-MUIC/MUIDS | CU-TEP | CU-AAT | CU-ATS | TU-GET | IB | AP | Academic Writing

ดูรายละเอียดคอร์สเรียนที่สนใจได้เลย!

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
Line: @theplanner หรือ Phone: 095-726-2666

เพิ่มเพื่อน
Tags:

Leave a Reply