คอร์สเรียน IELTS ที่ The Planner Education เป็นคอร์สระยะสั้นที่เน้นการติวสอบอย่างเข้มข้นและตรงจุด ในคลาสเรียน IELTS ผู้เรียนจะได้เรียนเนื้อหาที่ตรงกับข้อสอบมากที่สุดและออกสอบเป็นประจำ พร้อมเรียนเนื้อหาการสอบที่หลากหลาย ครบทั้ง 4 ทักษะ ได้แก่ IELTS Listening, Reading, Writing และ Speaking เพื่อให้ผู้เรียนได้เตรียมพร้อมครบทุกด้านก่อนลงสนามสอบจริง
นอกจากนี้ คอร์สติว IELTS ของ The Planner ยัง เน้นการตอบคำถามที่ตรงประเด็น และเน้นการหาคำตอบด้วยเทคนิคเฉพาะพาร์ท เพื่อให้ได้คะแนนทุกพาร์ทสูงที่สุด และที่สำคัญ ทุกคอร์สจะเน้นวิธีการทำข้อสอบ IELTS ในรูปแบบที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การให้คะแนนของ IELTS ฉบับอัปเดตล่าสุด และมีการเพิ่มคลังคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้กับผู้เรียนเพื่อช่วยเพิ่มคะแนนสอบ
ติวจากข้อสอบจริง วัดผลตามเกณฑ์จริง
- การันตี IELTS BAND 6.0++
- ติวอัปแบนด์ ไม่มีพื้นฐานก็ติวได้
- สอนตรงตามเกณฑ์การคำนวณคะแนน
- เรียนวิธีทำข้อสอบไม่ให้เสียคะแนน
- เรียนด้วยข้อสอบเก่าไม่จำกัด
- ประเมินด้วย Mock Test ก่อนสอบจริง
- ครูจบตรง ประสบการณ์ตรงทุกคน
- คลาสเล็ก สอนสด ถามตอบได้
ติวจากข้อสอบจริง วัดผลตามเกณฑ์จริง
- การันตี IELTS BAND 6.0++
- ติวอัปแบนด์ ไม่มีพื้นฐานก็ติวได้
- สอนตรงตามเกณฑ์การคำนวณคะแนน
- เรียนวิธีทำข้อสอบไม่ให้เสียคะแนน
- เรียนด้วยข้อสอบเก่าไม่จำกัด
- ประเมินด้วย Mock Test ก่อนสอบจริง
- ครูจบตรง ประสบการณ์ตรงทุกคน
- คลาสเล็ก สอนสด ถามตอบได้
9.0
8.5
7.0
7.5
9.0
7.0
7.5
8.0
9.0
7.0
7.5
7.0
8.5
7.5
7.5
7.0
8.5
8.0
8.0
8.0
8.5
8.0
7.5
7.0
9.0
9.0
9.0
8.5
8.5
8.5
8.5
7.5
7.0
7.0
Chote
Proud
Point
Non
Guzz
Ink
View this post on Instagram
View this post on Instagram
View this post on Instagram
- การันตี IELTS Band 5.0++
- ไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็ติวได้
- เน้นติวทักษะที่จำเป็นต่อการสอบ
- ทำแบบฝึกหัดที่คล้ายข้อสอบจริง
- ฝึกพื้นฐานครบทั้ง 4 สกิล
- การันตี IELTS Band 6.0++
- อัปแบนด์สูงกว่าเดิม 100%
- ติวเทคนิคและกลยุทธ์ลับเฉพาะ
- ติวจากข้อสอบจริงกว่า 20 ชุด
- ติวเข้มข้นครบทั้ง 4 สกิล
ติดต่อสอบถามคอร์สการเรียน IELTS 095-726-2666 หรือ LINE: @theplanner
ติดต่อสอบถามคอร์สการเรียน IELTS 095-726-2666 หรือ LINE: @theplanner
- เรียน IELTS กลุ่ม (Group)
- เรียน IELTS เดี่ยว (One-on-One)
- เรียน IELTS คู่ (Semi)
- เรียน IELTS จัดกลุ่มมา (Private Group)
- การันตี IELTS BAND 6.0++
- ครอบคลุมเนื้อหาติวสอบทั้ง 4 ทักษะ
- ติวเนื้อหาจากข้อสอบที่ออกประจำ
- เน้นเทคนิคเพิ่ม Band เฉพาะพาร์ท
- ติวตรงตามเกณฑ์ให้คะแนน IELTS
- บริการครบ ลงสอบ พร้อมตามผล
- ช่วยวางแผนเข้ามหาวิทยาลัย
- ฟรี หนังสือ IELTS ทั้ง 4 พาร์ท
- การันตี IELTS BAND 6.0++
- ครอบคลุมเนื้อหาติวสอบทั้ง 4 ทักษะ
- ติวเนื้อหาจากข้อสอบที่ออกประจำ
- เน้นเทคนิคเพิ่ม Band เฉพาะพาร์ท
- ติวตรงตามเกณฑ์ให้คะแนน IELTS
- บริการครบ ลงสอบ พร้อมตามผล
- ช่วยวางแผนเข้ามหาวิทยาลัย
- ฟรี หนังสือ IELTS ทั้ง 4 พาร์ท
- เลือกเวลาเรียนได้ตามต้องการ
- ขาดเรียน ชดเชยได้
- การันตี IELTS BAND 6.0++
- ครอบคลุมเนื้อหาติวสอบทั้ง 4 ทักษะ
- ติวเนื้อหาจากข้อสอบที่ออกประจำ
- เน้นเทคนิคเพิ่ม Band เฉพาะพาร์ท
- ติวตรงตามเกณฑ์ให้คะแนน IELTS
- บริการครบ ลงสอบ พร้อมตามผล
- ช่วยวางแผนเข้ามหาวิทยาลัย
- ฟรี หนังสือ IELTS ทั้ง 4 พาร์ท
- เลือกเวลาเรียนได้ตามต้องการ
- ขาดเรียน ชดเชยได้
ติดต่อสอบถามคอร์สการเรียน IELTS 095-726-2666 หรือ LINE: @theplanner
รายละเอียดการติว IELTS
คอร์สติว IELTS ที่ The Planner Education เป็นคอร์สระยะสั้นที่เน้นการติว IELTS เพื่อไปสอบอย่างเข้มข้นและตรงจุด ในคลาสเรียน IELTS ผู้เรียนจะได้เรียนเนื้อหาที่ตรงกับข้อสอบมากที่สุดและออกสอบเป็นประจำ พร้อมเรียนเนื้อหาการสอบที่หลากหลาย ครบทั้ง 4 ทักษะ ได้แก่ IELTS Listening, IELTS Reading, IELTS Writing และ IELTS Speaking เพื่อให้ผู้เรียนได้เตรียมพร้อมครบทุกด้านก่อนลงสนามสอบจริง
ทั้งนี้ หากผู้เรียนกำลังหาที่ติว IELTS ที่ไหนดี ที่ The Planner Education จะแบ่งคอร์สติว IELTS แบบกลุ่ม ออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ Classic และ Master ซึ่งทั้ง 2 คอร์สติว IELTS นี้ มีการการันตี Band สูงอีกด้วย
▪️ คอร์สติว IELTS Classic: การันตี IELTS Band 5.0+ เป็นคอร์สสำหรับคนที่ไม่เคยสอบ IELTS มาก่อน หรือคนที่ไม่มีพื้นฐานเลยก็สามารถมาติวได้ เพราะจะเน้นสอนทักษะจำเป็นที่ต้องใช้สอบ และเน้นทำแบบฝึกหัดจากหนังสือเรียน IELTS ที่ใกล้เคียงกับข้อสอบจริงมากที่สุด
▪️ คอร์สติว IELTS Master: การันตี IELTS Band 6.0+ เป็นคอร์สสำหรับคนที่ต้องการ IELTS Band 6.0 ขึ้นไป เพื่อใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัย หรือต้องการอัปแบนด์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม เพราะจะเน้นทำข้อสอบแบบเจาะลึกเทคนิคและกลยุทธ์ในการตอบคำถาม เพื่อทำข้อสอบได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ผู้เรียนจะได้ทำข้อสอบเก่ามากกว่า 20 ชุด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับไปสอบได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
ทั้ง 2 คอร์สติว IELTS ที่ได้การันตี หากไปสอบมาแล้วไม่ได้แบนด์ตามที่การันตี สามารถกลับมาเรียนซ้ำใหม่ฟรี!
หากกำลังหาที่ติว IELTS ที่ไหนดี ที่ The Planner Education จะแบ่งคอร์สติว IELTS แบบเรียนกลุ่ม ออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ Classic และ Master ซึ่งทั้ง 2 คอร์สติว IELTS นี้ มีการการันตี Band สูงอีกด้วย
▪️ คอร์สติว IELTS Classic: การันตี IELTS Band 5.0+ เป็นคอร์สสำหรับคนที่ไม่เคยสอบ IELTS มาก่อน หรือคนที่ไม่มีพื้นฐานเลยก็สามารถมาติวได้ เพราะจะเน้นสอนทักษะจำเป็นที่ต้องใช้สอบ และเน้นทำแบบฝึกหัดจากหนังสือเรียน IELTS ที่ใกล้เคียงกับข้อสอบจริงมากที่สุด
▪️ คอร์สติว IELTS Master: การันตี IELTS Band 6.0+ เป็นคอร์สสำหรับคนที่ต้องการ IELTS Band 6.0 ขึ้นไป เพื่อใช้ยื่นเข้ามหาวิทยาลัย หรือต้องการอัปแบนด์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม เพราะจะเน้นทำข้อสอบแบบเจาะลึกเทคนิคและกลยุทธ์ในการตอบคำถาม เพื่อทำข้อสอบได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลา และแม่นยำ ผู้เรียนจะได้ทำข้อสอบเก่ามากกว่า 20 ชุด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับไปสอบได้อย่างมั่นใจ
ทั้ง 2 คอร์สติว IELTS ที่ได้การันตี หากไปสอบมาแล้วไม่ได้แบนด์ตามที่การันตี สามารถกลับมาเรียนซ้ำใหม่ฟรี!
คอร์สติว IELTS ที่ The Planner Education เน้นการตอบคำถามที่ตรงประเด็น และเน้นการหาคำตอบด้วยเทคนิคเฉพาะพาร์ท เพื่อให้ได้คะแนนทุกพาร์ทสูงที่สุด และที่สำคัญ ทุกคอร์สติว IELTS จะเน้นวิธีการทำข้อสอบ IELTS ในรูปแบบที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การให้คะแนนของ IELTS ฉบับอัปเดตล่าสุด และมีการเพิ่มคลังคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้กับผู้เรียนเพื่อช่วยเพิ่มคะแนนสอบอีกด้วย
ด้านคุณครูที่ติว IELTS ของสถาบัน The Planner Education มีประสบการณ์การสอน IELTS โดยตรงทุกท่าน มีรูปแบบการสอนที่น่าสนใจ สนุกสนาน และมีการอัปเดตเนื้อหาในการสอนให้ตรงกับการสอบรอบอัปเดตใหม่อยู่เสมอ เพื่อให้คลาสติว IELTS ของสถาบันมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในด้านการพัฒนาคอร์สเรียน IELTS ทางสถาบัน The Planner ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์และสรุปเนื้อหาสำคัญทั้งหมดที่มีในข้อสอบอย่างละเอียด และออกแบบให้ตรงกับความต้องการของผู้เรียนอย่างแท้จริง เพื่อให้น้อง ๆ ที่เรียนในคอร์สเรียน IELTS ทุกคนมั่นใจว่าจะได้รับเนื้อหาการติวและการสอบทั้งหมดที่ถูกต้อง ครบถ้วน และอัปเดตมากที่สุด หากยังไม่รู้ว่าจะติว IELTS ที่ไหนดี? ลงคอร์สเรียน IELTS ที่ไหนดี? หรือติว IELTS ที่ไหนแบบมีการันตี Band 6.0+ ถ้ามาติวที่ The Planner Education มั่นใจว่าได้ Band สูง เข้ามหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศได้แน่นอน
ข้อมูลที่ควรรู้ก่อนสอบและเรียน IELTS
IELTS (International English Language Testing System) คือ การทดสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักหรือภาษาประจำชาติ ออกแบบมาเพื่อวัดทักษะของผู้ที่ต้องการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสารสำหรับการทำงาน การศึกษา หรือการย้ายถิ่นฐาน เป็นต้น โดยจะแบ่งระดับคะแนน (Band) ออกเป็น 9 ระดับ โดยเรียงลำดับจากระดับ 1 (ต่ำที่สุด) ไปจนถึง 9 (สูงที่สุด)
การสอบ IELTS ในประเทศไทย จัดขึ้นโดย British Council และ IDP: IELTS Australia ปัจจุบันมหาวิทยาลัย หลักสูตรนานาชาติในประเทศไทย หรือสถานศึกษาชั้นนำในต่างประเทศได้มีการพิจารณาผลสอบ IELTS เพื่อให้นักเรียนที่จะเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษานั้น ๆ มีความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับมาตรฐานที่กำหนด
อย่างที่ทราบกันดีว่าหลักสูตรอินเตอร์ หรือหลักสูตรนานาชาติทั้งมหาวิทยาลัยไทยและมหาวิทยาลัยต่างประเทศ จะมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงการเรียนร่วมกับเพื่อน ๆ และอาจารย์ต่างชาติ ทั้งในห้องเรียนและการฝึกงานที่ล้วนแล้วแต่จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
ดังนั้น ผลการทดสอบภาษาอังกฤษที่มีคุณภาพ เช่น IELTS หรือ TOEFL จึงเป็นส่วนสำคัญมากในการพิจารณาว่าน้อง ๆ จะพร้อมต่อการเข้าเรียนในหลักสูตรอินเตอร์นั้น ๆ หรือไม่ และสามารถรับการเรียนรู้ตลอดจนจบการศึกษาได้อย่างราบรื่น และเพียงพอต่อการดำเนินชีวิตหลังจบการศึกษาไปแล้วหรือไม่นั่นเอง
หากไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษ หรือคิดว่าพื้นฐานยังไม่แน่น แต่ต้องการใช้คะแนน IELTS และกำลังหาคอร์สเรียน IELTS ที่ไหนดี ที่สามารถเรียนได้แม้ไม่มีพื้นฐานมาก่อน หรือไม่เคยสอบ IELTS มาก่อนและอยากจะทำความเข้าใจข้อสอบ IELTS ให้มากขึ้น คุ้นชินกับรูปแบบข้อสอบ พร้อมทั้งปรับพื้นฐานภาษา เพิ่มสกิลภาษาอังกฤษทั้ง 4 สกิลที่ใช้ในการสอบ IELTS คอร์สติว IELTS ที่ The Planner มีการันตีหากสอบได้ไม่ถึง Band 6.0 สามารถมาเรียนซ้ำใหม่ได้ฟรี (คอร์ส IELTS Master)
สอบถามตารางติว IELTS แบบกลุ่ม และรับสิทธิ์เรียนซ้ำฟรีได้ที่ LINE Official ID: @theplanner
รอบ Portfolio สำคัญมากในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะว่าเป็นรอบแรกของระบบ Admission ซึ่งจะเปิดช่วงท้าย ๆ ปี ถ้าน้อง ๆ คนไหนที่เตรียมคะแนนเพื่อยื่นรอบ Portfolio ก็จะรู้ผลในช่วงต้นปีว่าตัวเองได้รับคัดเลือกหรือไม่ ซึ่งถ้าน้อง ๆ ยื่นผ่าน ก็จะถือว่ามีที่เรียนแล้วก่อนเพื่อน
คะแนนที่สำคัญที่ใช้ยื่นในรอบ Portfolio นอกจากแฟ้มสะสมผลงานก็คือ คะแนน IELTS หรือ TOEFL ใน Requirement รอบ Portfolio หลายคณะต่างก็ต้องใช้คะแนนส่วนนี้ หากน้อง ๆ อยากเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการยื่นสมัครในรอบนี้ การเริ่มติว IELTS หรือ TOEFL ก็คือหนึ่งในกุญแจสำคัญเพื่อเปิดประตูสู่มหาวิทยาลัยในรอบ Portfolio
ความสำคัญของรอบ Portfolio
- รอบ Portfolio เป็นรอบแรกของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย (Admission) หากยื่นสมัครรอบนี้แล้วไม่ผ่าน น้อง ๆ ยังมีรอบอื่นให้แก้ตัวใหม่อีกครั้ง
- รอบ Portfolio มีคู่แข่งน้อยกว่ารอบ Admission เพราะว่าเด็กหลายคนต่างทิ้งรอบนี้ไปเพื่อสู้รอบ Admission เพียงอย่างเดียว รอบ Portfolio จึงมีอัตราการแข่งขันที่น้อยกว่ารอบ Admission
- จำนวนการรับในรอบ Portfolio บางคณะค่อนข้างมอบโอกาสให้น้อง ๆ ถ้าเทียบให้เห็นภาพก็คงเป็นคณะแพทยศาสตร์ ที่รับ กสพท รวมทั้งประเทศเพียงพันกว่าคน ซึ่งถ้าเฉลี่ยต่อมหาวิทยาลัยก็มีที่นั่งค่อนข้างน้อย อาจจะหลักสิบ แต่รอบ Portfolio บางมหาวิทยาลัยรับนักศึกษาแพทย์เป็นหลักร้อยคน
ความสำคัญของ IELTS ในรอบ Portfolio
ในรอบ Portfolio คะแนน IELTS ค่อนข้างสำคัญ บางคณะจำเป็นต้องยื่นคะแนนเหล่านี้ ไม่ว่าน้อง ๆ จะอยากเข้าคณะสายวิทย์ คณะสายศิลป์ หรือคณะอะไรก็ตาม อาจจะเรียนต่อในประเทศไทยหรืออาจจะไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยเฉพาะหลักสูตรนานาชาติ ที่ระบุว่าจะต้องยื่นคะแนนภาษาอังกฤษ เช่น IELTS จึงบอกได้เลยว่าติว IELTS ไว้ อุ่นใจกว่าจริง ๆ
ตัวอย่างคณะที่ใช้คะแนน IELTS ยื่นในรอบ Portfolio เช่น คณะแพทยศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์(จุฬาฯ) คณะนิเทศศาสตร์ (จุฬาฯ) คณะศิลปศาสตร์ (ธรรมศาสตร์) ฯลฯ
อนึ่ง การติว IELTS ไม่ได้ติวเพื่อยื่นเข้าคณะหลักสูตรนานาชาติเท่านั้น แต่ยังใช้ในการยื่นเข้าคณะหลักสูตรไทยในรอบ Portfolio ได้อีกด้วย
โอกาสสอบติดคณะในฝันและมหาวิทยาลัยในฝันตั้งแต่รอบ Portfolio มาแล้ว คอร์สติว IELTS แบบมีการันตี Band 6.0 ขึ้นไป หากได้น้อยกว่ามาติวใหม่ ฟรี! คอร์ส IELTS เป็นแบบสอนสด สอนโดยคุณครูติวเตอร์มากประสบการณ์การสอน IELTS ถึงกล้าการันตีผล 100% เน้นเทคนิคลัด จับจุดโจทย์ทุกรูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับข้อสอบ IELTS มากที่สุด ได้ฝึกจากข้อสอบเก่ามากถึง 20 ชุด อัปแบนด์สูงก่อนยื่น IELTS ติดตั้งแต่รอบ Portfolio และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ สอบถามตารางติวและสิทธิ์การันตีได้ที่ LINE Official: @theplanner
ข้อสอบ IELTS หลัก ๆ จะถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน และระดับความ ยาก-ง่าย ของเนื้อหาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของข้อสอบด้วย ดังนี้
IELTS General Training Module
คือ การทดสอบสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา หลักสูตรระยะสั้น สมัครงาน/ทำงาน หรือขอสัญชาติ เป็นต้น โดยระดับความ ยาก-ง่าย ของข้อสอบ IELTS ประเภทนี้ จะอยู่ในระดับทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
IELTS Academic Module
คือ การทดสอบที่จะเน้นใช้สำหรับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หรือสูงกว่าในมหาวิทยาลัย หลักสูตรนานาชาติภายในประเทศ หรือมหาวิทยาลัยทั่วไปในต่างประเทศ ข้อสอบ IELTS ประเภทนี้ จะเน้นการทดสอบที่เป็นภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ มีความยาก และซับซ้อนกว่าการสอบ IELTS แบบ General Training Module
นอกจากนี้ การสอบ IELTS ก็ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งที่เน้นวัตถุประสงค์การใช้งานเป็นพิเศษด้วย นั่นคือ IELTS UKVI ซึ่งเป็นข้อสอบที่มีจุดประสงค์เพื่อยื่นสมัครวีซ่าของสหราชอาณาจักร (UK) และใช้ในด่านตรวจคนเข้าเมืองสำหรับคนที่ต้องการไปศึกษาต่อใน UK หรือย้ายถิ่นฐานเข้าไปใน UK
โดยในการสอบสามารถแบ่งออกไปได้ด้วยว่าจะเน้นสอบเพื่อทำงาน/ย้ายถิ่นฐาน (IELTS General Training Module) หรือสอบเพื่อเข้าเรียนต่อ (IELTS Academic Module)
การวัดระดับภาษาอังกฤษของ IELTS นั้นจะแบ่งออกเป็น 4 ทักษะด้วยกัน
1. Listening (ทดสอบการฟัง):
- ใช้เวลาสอบ 60 นาที (30 นาทีฟัง และอีก 10 นาทีเขียนคำตอบ)
- รูปแบบการสอบ คือ ฟังคลิปเสียง 4 คลิป ที่มีหลากหลายสำเนียง และตอบคำถาม 40 ข้อ โดยน้อง ๆ จะต้องตอบโดยใช้
– Multiple Choice
– Matching
– Diagram Labelling
– Sentence Completion
2. Reading (ทดสอบการอ่าน):
- ใช้เวลาสอบ 60 นาที
- รูปแบบการสอบ คือ อ่าน Passage 3 เรื่อง (อาจเป็นแผนภาพ กราฟ หรือเป็นภาพประกอบ) ข้อสอบ Reading Part จะประกอบด้วยคำถามทั้งหมด 40 ข้อ
3. Writing (ทดสอบการเขียน):
- ใช้เวลาสอบ 60 นาที
- รูปแบบการสอบ มี 2 ส่วนต้องทำ ได้แก่
– การเขียนเพื่อบรรยาย, อธิบาย หรือสรุปข้อความหรือแผนภาพ 1 ชิ้น (อย่างน้อย 150 คำ) โดยน้อง ๆ จะต้องบรรยาย, สรุป หรืออธิบายข้อมูลในกระบวนการ, วิธีการทำงาน, วัตถุ หรือเหตุการณ์นั้น ๆ ที่โจทย์ให้มา
– เรียงความ 1 ชิ้น (อย่างน้อย 250 คำ) เพื่อแสดงความคิดเห็นต่อแนวคิด, ข้อโต้แย้ง หรือปัญหา
4. Speaking (ทดสอบการพูด):
- ใช้เวลาสอบ 10-15 นาที
- รูปแบบการสอบ จะเป็นการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวกับอาจารย์ผู้คุมสอบ โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 Task ได้แก่
– Task 1 – อาจารย์ผู้คุมสอบจะถามคำถามทั่วไปเกี่ยวกับตัวน้อง ๆ และเกี่ยวกับหัวข้อที่คุ้นเคย เช่น บ้าน ครอบครัว การเรียน และความสนใจ โดยจะใช้เวลาใน Task นี้ประมาณ 4 – 5 นาที
– Task 2 – น้อง ๆ จะได้รับการ์ดหนึ่งใบ ที่จะให้พูดเกี่ยวกับหัวข้อเฉพาะ เป็นเวลาไม่เกิน 2 นาที โดยน้อง ๆ จะมีเวลา 1 นาที ในการเตรียมตัวและเตรียมคำตอบ และอีก 1 นาทีในการพูดคำตอบ
– Task 3 – น้อง ๆ จะถูกถามคำถามที่ต่อยอดมาจากหัวข้อใน Task ที่ 2 โดยน้อง ๆ สามารถอภิปรายแนวคิดและประเด็นในเชิงที่เป็นนามธรรมได้มากขึ้น โดยจะใช้เวลาใน Task นี้ประมาณ 4 – 5 นาที
หาที่ ติว IELTS ที่ไหนดีสุด เพื่อยื่นเข้าคณะหรือมหาวิทยาลัยนานาชาติ IELTS Band ขั้นต่ำสุดอาจจะต้องได้ตั้งแต่ Band 5.0 ขึ้นไป ซึ่งคอร์สติว IELTS ที่ The Planner มีการันตีถึง IELTS Band 6.0++ ซึ่งแค่นี้ก็สามารถเข้าศึกษาในคณะอินเตอร์ในประเทศไทยได้ค่อนข้างหลากหลายที่แล้ว หาที่ติว IELTS ในกรุงเทพ ติด BTS ใกล้สยาม และหากต้องการคะแนน IELTS เพื่อไปสอบแบบไม่เคว้ง และมีการันตีรองรับว่าหากสอบได้คะแนนไม่ถึง Band 5.0 สามารถมาเรียนซ้ำใหม่ได้ฟรี แอดไลน์ @theplanner เพื่อสอบถามตารางคอร์สติว IELTS ได้เลย
สนามสอบหรือศูนย์สอบ IELTS มีให้น้อง ๆ เลือกสมัครได้ตามความสะดวกใน 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย อุบลราชธานี ขอนแก่น สงขลา (หาดใหญ่) ภูเก็ต โคราช ชลบุรี พิษนุโลก มหาสารคาม ระยอง อุดรธานี
ดูขั้นตอนการสมัครสอบ IELTS และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.britishcouncil.or.th
เรียน IELTS ที่ไหนดี? คอร์ส IELTS ที่ไหนช่วยให้สอบผ่านและได้คะแนนสูง? ที่ The Planner Education สถาบันติวสอบเข้าคณะอินเตอร์อันดับ 1 เปิดสอนคอร์สเรียน IELTS ระยะสั้น 90 ชั่วโมง เนื้อหาการติวตรงตามศูนย์สอบฉบับอัปเดตล่าสุด สอนโดยคุณครูติวเตอร์ผู้เชี่ยวชาญ ที่เรียนจบตรงสายด้านภาษา มั่นใจได้ว่าน้อง ๆ จะได้รับประสบการณ์การติว IELTS ที่ได้เทคนิคแน่น ๆ ไม่เหมือนใคร พร้อมการันตี Band 6.0++ หากสอบได้น้อยกว่า มาเรียนซ้ำได้ฟรี!
คอร์สติว IELTS ที่ The Planner Education มีบริการจากพี่ ๆ ทีมแอดมิน ที่คอยอำนวยความสะดวกและให้คำปรึกษาทั้งเรื่องการติว IELTS และการยื่นคะแนน IELTS เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย กับน้อง ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นติวสอบ จนสอบผ่าน และใช้คะแนนยื่นติดคณะอินเตอร์ที่น้อง ๆ อยากเข้า
IELTS Band 8.0 อาจไม่ไกลเกินเอื้อม มาติวที่สถาบันติว IELTS โดยตรง ที่ The Planner Education ทุกความสำเร็จ เป็นจริงได้แน่นอน รับรองด้วยการันตี IELTS Band 6.0++ หากคะแนนน้อยกว่ามาผ่านเรียนซ้ำได้ฟรี ไม่คิดเงินเพิ่ม!
การสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะด้านการเขียน บ่อยครั้งเรามักใช้ประโยคหรือชนิดคำที่ค่อนข้างเป็นภาษาพูดหรือภาษาแบบไม่เป็นทางการโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งอาจติดมาจากการสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันของเรา ที่มักมีการใช้รูปศัพท์ย่อ คำสแลงและอื่น ๆ ร่วมด้วยอยู่เสมอ
หากเป็นการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารธรรมดาทั่วไปก็คงจะไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าต้องเป็นการเขียนภาษาอังกฤษในเหตุการณ์สำคัญ ๆ เช่น การทดสอบภาษาอังกฤษ IELTS โดยเฉพาะพาร์ท IELTS Writing ที่ถ้าพบว่ามีการเขียนภาษาอังกฤษแบบไม่ทางการหรือไม่ใช่ภาษาเขียนที่ถูกต้อง ก็คงจะต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ ๆ
มารู้จักกับการเขียนภาษาอังกฤษแบบทางการ พร้อมกับดูรายละเอียดการประเมินคะแนนของการสอบ IELTS Writing และวิธีตอบให้ได้คะแนนมากที่สุดผ่านการเขียน เนื้อหาทั้งหมดจะมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย
ภาษาแบบทางการ เป็นยังไง?
ภาษาแบบทางการหรือภาษาแบบแผน (Formal Language) เป็นระดับการใช้ภาษาที่สุภาพ เคร่งครัด มีระบบทางการเขียนและความหมายที่ชัดเจนมากกว่าภาษาที่ใช้พูดหรือเขียนทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วภาษาแบบทางการมักใช้ในโอกาสสำคัญ ๆ เช่น การทดสอบวัดระดับภาษา การติดต่องานราชการ การทำงานในองค์กร บทละคร การประกาศข่าว การทำรายงานทางวิชาการ และอื่น ๆ ที่มีความเป็นแบบแผนและต้องใช้ความสุภาพในการสื่อสาร
ภาษาอังกฤษแบบทางการ เป็นยังไง?
ภาษาอังกฤษแบบทางการ (Formal English) ต้องยึดหลักความถูกต้องทางภาษาเช่นเดียวกันกับภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่องคำศัพท์และ Grammar ซึ่งใช้มาเป็นเกณฑ์เพื่อให้เกิดระดับภาษาที่สูงกว่าการพูดคุยภาษาอังกฤษแบบธรรมดา (Informal English)
และเพื่อความสะดวกในการสื่อสารภาษาอังกฤษ จึงได้มีการระบุและรวบรวมคำศัพท์ทางการต่าง ๆ เอาไว้แล้วมากมาย ซึ่งน้อง ๆ ที่เรียนคอร์ส IELTS และเรียนภาษาอังกฤษเพื่อจุดประสงค์ทั่วไป อาจจะต้องฝึกท่องจำมากขึ้นสักหน่อย
ตัวอย่างคำศัพท์
ภาษาอังกฤษไม่ทางการ | ภาษาอังกฤษแบบทางการ | ความหมาย |
Get | Receive | ได้รับ |
Check | Verify | ตรวจสอบ |
Tell | Inform | บอก, รายงาน |
Go up | Increase | เพิ่มขึ้น |
Go down | Decease | ลดลง |
Chance | Opportunity | โอกาส |
Deal with | Handle | จัดการ, รับมือ |
Find out | Discover | ค้นพบ |
Show | Demonstrate | แสดง, สาธิต |
Promise | Assure | สัญญา, ให้คำมั่น |
หลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ
1. หลีกเลี่ยงการใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 เช่น I หรือ We ในประโยค (กรณีที่ไม่จำเป็นต้องสื่อว่าเราเป็นผู้พูด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้งาน)
ตัวอย่าง
- Informal English: During the interview, I asked students about their experiences.
- Formal English: During the interview, students were asked about their experiences.
2. ใช้ศัพท์แบบตัวเต็ม ไม่ย่อ
ตัวอย่าง
- Informal English: I can’t only speak English, but also speak Chinese.
- Formal English: I can not only speak English, but also speak Chinese.
3. ใช้คำความหมายตรงตัว ไม่ใช้ Phrasal Verbs
ตัวอย่าง
- Informal English: The patient got over his illness.
- Formal English: The patient recovered from his illness.
4. ไม่ใช้คำสแลง หรือศัพท์วัยรุ่น
ตัวอย่าง
- Informal English: It was raining cats and dogs.
- Formal English: It was raining very heavily.
5. Modal verbs ช่วยให้ดูสุภาพขึ้น
ตัวอย่าง
- Informal English: I want a cup of tea.
- Formal English: I would like a cup of tea, please.
6. ใช้ประโยคเต็ม ไม่สั้นหรือห้วนจนดูเร่งรีบ
ตัวอย่าง
- Informal English: Thanks.
- Formal English: Thank you so much for your help.
ภาษาอังกฤษแบบทางการกับการสอบ IELTS Writing
IELTS Writing มีการแบ่งการทดสอบออกเป็น 2 พาร์ท คือ
- IELTS Writing Task 1: เป็นการเขียนตอบเชิงอธิบายแผนภาพ Graph, Pie, Bar, Chart และ Table โดยเราสามารถเขียนตอบได้ตรง ๆ โดยน้อง ๆ ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์คำถามหรือเพิ่มเติมความคิดเห็น
- IELTS Writing Task 2: เป็นการเขียนตอบเชิงอภิปราย โดยน้อง ๆ จำเป็นต้องตอบให้ตรงคำถามว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับโจทย์ที่ให้มา และให้เหตุผลสนับสนุนกับแง่มุมนั้น ๆ ของเราด้วย
ซึ่งการเขียนคำตอบ IELTS Writing ทั้งสองพาร์ท น้อง ๆ จำเป็นต้องเขียนตอบด้วย “ภาษาอังกฤษระดับทางการ หรือเชิงวิชาการ” เพราะหากน้อง ๆ เขียนตอบด้วยภาษาที่ไม่ทางการหรือเป็นภาษาระดับสนทนา ก็อาจจะถูกหักคะแนนออกไปในส่วนของเกณฑ์ Lexical Resource (การใช้คำศัพท์) และ Grammatical Range and Accuracy (การใช้รูปแบบประโยคที่หลากหลาย และถูกต้องตามหลักไวยากรณ์) เยอะเลยทีเดียว
The Planner Education หวังว่าน้อง ๆ ที่กำลังเตรียมตัวสอบ IELTS คงได้ความรู้เรื่องการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการกันไปเยอะเลยทีเดียว และแค่อ่านอย่างเดียวอาจไม่พอ อย่าลืมนำไปปรับใช้ให้เกิดความคุ้นเคยก็จะส่งผลดีกับคะแนนมากเลยทีเดียว
การสอบ IELTS Writing และ IELTS พาร์ทอื่น ๆ ไม่ใช่เรื่องยาก แค่เพียงน้อง ๆ มีการฝึกฝนเป็นประจำ และรับคำปรึกษาจากคุณครูติวเตอร์ผู้เชี่ยวชาญจากคอร์สติว IELTS ที่สถาบัน The Planner Education อย่างสม่ำเสมอ โอกาสคว้า IELTS Band สูง โดยคอร์สติว IELTS มีการันตี Band 6.0++ หากสอบแล้วไม่ได้ มาเรียนซ้ำฟรีได้เลย!
จากประสบการณ์การสอนคอร์สเรียน IELTS ของคุณครูติวเตอร์ที่สถาบัน The Planner Education และจากการสำรวจน้อง ๆ นักเรียนที่เรียนปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษหลายคนพบว่า สิ่งที่น้อง ๆ กังวลมากเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อต้องเตรียมสอบ IELTS Speaking คือเรื่องของ “Accent” หรือสำเนียง
ถ้าสำเนียงพูดภาษาอังกฤษของเราไม่เป๊ะแบบเจ้าของภาษา จะสอบ IELTS Speaking แตะ Band สูงได้ไหม? พี่ The Planner จะไขข้อข้องใจให้ฟัง
พูดอังกฤษสำเนียงไทย จะสอบ IELTS Speaking ได้ไหม?
สำเนียง คือ ความหลากหลาย ไม่ใช่เกณฑ์วัดความสมบูรณ์แบบ
ในการสอบ IELTS Speaking ผู้ควบคุมการสอบที่มีประสบการณ์และผ่านการรับรองคุณภาพ จะสามารถเข้าใจในความแตกต่างทางสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของผู้เข้าสอบในแต่ละคนได้ และไม่ได้ยึดถือเป็นเกณฑ์ว่าหากผู้เข้าสอบพูดสำเนียงบริติชหรืออเมริกันได้ จะมีคะแนนหรือผลลัพธ์ทางการสอบมากกว่าผู้เข้าสอบที่พูดภาษาอังกฤษเป็นสำเนียงไทยหรือสำเนียงอื่น ๆ แต่อย่างใด
เพราะผู้คุมสอบจะประเมินเฉพาะทักษะการพูดภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง ชัดเจนและคล่องแคล่วของผู้เข้าสอบเท่านั้น หากน้อง ๆ หรือผู้เข้ารับการสอบ IELTS Speaking คนไหนไม่ได้มีสำเนียงภาษาอังกฤษที่เป๊ะเหมือนเจ้าของภาษา แต่มีทักษะการพูดที่ลื่นไหล น้ำเสียงดี จังหวะดี และถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ น้อง ๆ ก็สามารถโกยคะแนนสอบ IELTS Speaking ไปเต็ม ๆ ได้เหมือนกัน
เทคนิคสอบ IELTS Speaking
1. เปิดตัวได้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ในการสอบ IELTS Speaking ผู้คุมสอบจะมองเห็นเราได้ตั้งแต่เราเดินเข้าประตูมา ดังนั้นสิ่งที่น้อง ๆ ควรทำคือการขจัดความตื่นเต้นและประหม่าออกไป ยิ้มสู้เข้าไว้ เดินมานั่งอย่างมั่นใจเพื่อให้ผู้คุมสอบเห็นว่าเราพร้อม และได้มีการเตรียมตัวมาอย่างดีแล้ว
หลังจากนั้นจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการสอบและตอบคำถาม ทั้ง 3 พาร์ท ได้แก่
- พาร์ท Introduction and questions on familiar topics
- พาร์ท Individual long turn
- พาร์ท Two-way discussion
โดยพาร์ทแรกที่ผู้คุมสอบหรือ Examiner จะถามน้อง ๆ คือพาร์ท Introduction and questions on familiar topics ซึ่งก็คือการให้น้อง ๆ แนะนำตัวเอง และพูดคุยถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป ที่น้อง ๆ คุ้นเคยอยู่แล้ว เช่น ที่อยู่อาศัย ครอบครัว การเรียน การทำงาน งานอดิเรก เป็นต้น
ดังนั้น สิ่งที่น้อง ๆ ควรตอบคือการตอบคำถามให้ตรงคำถาม กระชับ ชัดเจน ไม่ตอบส่ง ๆ ในสิ่งที่ไม่รู้ เพราะถ้าหากเราไหลไปเรื่อย อาจทำให้ปลายทางน้อง ๆ ปิดคำตอบได้ไม่สวย หรือปิดไม่ลงก็ได้ หากไม่รู้คำตอบในคำถามไหนจริง ๆ ให้น้อง ๆ ปฏิเสธและขอผ่านในคำถามนั้นได้เลยค่ะ
2. Pronunciation ปัง ชี้ทางรอด
Pronunciation คือ การออกเสียงคำพูด ถ้อยคำหรือวลีต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งในบางครั้งการออกเสียงคำศัพท์ต่าง ๆ ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษหรือตัวเจ้าของภาษาเอง ก็อาจจะไม่ได้ออกเสียงตรงตามตัวสะกดทุกตัวแบบ 100% น้อง ๆ ต้องอาศัยการฝึกฝนและทำความคุ้นเคยในการออกเสียงคำศัพท์ให้มาก ๆ
ยกตัวอย่างเช่น คำว่า Salmon คนไทยส่วนใหญ่จะออกเสียงว่า แซว-ม่อน หรือ แซล-มอน แบบตรงตามตัวสะกด ซึ่งที่จริงแล้ว คำว่า Salmon การออกเสียงที่ถูกต้อง ต้องเป็น sæmən หรือ แส้-เหมิ่น แบบไม่ออกเสียง -l
3. Stress เสียงถูกที่ ยังไงก็มีคะแนน
การ Stress หรือการลงน้ำหนักเสียงคำในภาษาอังกฤษ เราจะไม่ลงน้ำหนักเสียงชัดเจนเท่ากันในทุกคำ เช่น คำว่า Salmon เจ้าของภาษาจะไม่เน้นพยางค์หลัง -mən แต่จะไปเน้นที่พยางค์หน้า sæ แทน นอกจากนี้ บางคำ ถ้าเราลงน้ำหนักเสียงผิดที่ คำศัพท์นั้นก็อาจกลายเป็นอีกความหมายก็ได้ เช่น คำว่า present (n.) ที่แปลว่า ของขวัญ จะต้อง stress พยางค์แรกว่า ‘pre.sent หรือ เพร๊ะ-เซินท แต่ถ้าเป็น present (v.) ที่แปลว่า นำเสนอ จะต้อง stress พยางค์หลังที่คำว่า pre.sent’ หรือ เผรอะ-เซ่นท นั่นเอง
4. Fluency ไม่ได้มีดีแค่ความลื่นไหล
เมื่อน้อง ๆ หรือผู้เข้าทดสอบ IELTS Speaking ต้องตอบคำถามในหัวข้อต่าง ๆ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมคือการมีสติ ตอบคำถามให้ลื่นไหลอยู่เสมอ ถ้าหากเราสะดุดตรงไหน ไม่จำเป็นต้องขอเริ่มใหม่ทั้งหมดอยู่เรื่อย ๆ แต่ให้เดินหน้าตอบต่อไปในจุดที่พลาดอย่างแนบเนียน นอกจากนี้ ในคำตอบของน้อง ๆ ควรมีความเป็นธรรมชาติ ไม่ประดิษฐ์เสียงพูดจนเกินไป มีการเน้นจังหวะในน้ำเสียงที่ถูกต้อง รื่นหู ไม่ต้องพยายามเร่งให้ตัวเองพูดเร็ว ๆ แบบในข่าวหรือละครทีวี แต่ให้พูดด้วยความเร็วระดับปกติ เพื่อให้ผู้คุมสอบเกิดความง่ายในการฟังและง่ายต่อการพิจารณาคำตอบของเราอย่างถูกต้อง
5. Vocabulary และ Grammar อย่าทิ้ง
การที่น้อง ๆ และผู้เข้าสอบคนไหนมีคลังคำศัพท์เยอะ หรือมี Range คำศัพท์ที่กว้างและหลากหลายมากพอ จะช่วยให้คำตอบของน้อง ๆ มีความน่าสนใจและช่วยให้น้อง ๆ สามารถหยิบจับหรือเลือกเอาคำศัพท์ที่เป็น Synonym มาตอบได้เยอะมากขึ้น เปรียบได้กับการที่เรามีเงินเก็บเอาไว้เยอะ ๆ จะเลือกหยิบเอามาใช้จ่ายตอนไหน จะเป็นเหรียญหรือธนบัตร ก็ทำได้สบาย นอกจากนี้ อีกสิ่งที่น้อง ๆ ควรยึดเป็นหลักไว้อยู่เสมอคือเรื่องของความถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ หรือ Grammar เพราะจะช่วยสร้างความเป็นมืออาชีพในการสื่อสาร และยังช่วยยกระดับให้การพูดภาษาอังกฤษของน้อง ๆ ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
สรุปแล้วการที่น้อง ๆ ไม่ได้มีสำเนียงที่เป๊ะ ปัง แบบหลุดมาจากซีรีส์ตะวันตกหรือแบบเจ้าของภาษา ก็ไม่ได้ทำให้ผลการสอบ IELTS Speaking แย่แต่อย่างใดเลย เพียงแค่น้อง ๆ มีความเข้าใจในการใช้ภาษาอังกฤษ และสื่อสารออกมาได้อย่างชัดเจน และมีคุณภาพ แค่นี้น้อง ๆ ก็สามารถแตะ IELTS Band สูงได้ไม่ยากแล้ว
ก่อนจะไปสอบ IELTS อย่าลืมฝึกฝนกันเยอะ ๆ หรือถ้าใครกำลังหาที่ติว IELTS ที่ไหนดี หากเลือกแล้วว่าต้องการคำแนะนำแบบเต็มที่ ทั้งในเรื่องของข้อสอบ IELTS โดยเฉพาะ เทคนิคลับที่จำเป็นต่อการสอบ วิธีที่จะช่วยอัปแบนด์หรือประหยัดเวลาในการตอบคำถามมากที่สุด รวมไปถึงการยื่นคะแนน IELTS เพื่อเข้ามหาวิทยาลันอินเตอร์ มาที่เดียวแล้วจบเลย ก็ต้องคอร์สติว IELTS ที่ The Planner Education กับคอร์สสอนสด การันตี Band 6.0++ ติว IELTS ที่สถาบัน เดินทางสะดวก ที่ The Mercury Ville ชั้น 3 ลง BTS ชิดลม ทางออก 4
10 เรื่องที่น้อง ๆ คอร์สเรียน IELTS และน้อง ๆ ที่สนใจสอบ IELTS ควรต้องรู้และเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนวันไปสอบจริง เพื่อป้องกันความผิดพลาดและลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งแต่ละข้อจะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มาดูกัน
1. ศึกษากำหนดการสอบ
อันดับแรกก่อนวางแผนไปสอบ IELTS น้อง ๆ ควรศึกษาดูก่อนว่าวันที่เราต้องการจะไปสอบตรงกับวันอะไร ทางสนามสอบเปิดสอบปกติโดยไม่ติดวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือวันหยุดพิเศษอะไรหรือไม่ เพราะสนามสอบ IELTS ไม่ได้เปิดให้น้อง ๆ เข้าทำการสอบครบทุกวันตลอดทั้งเดือน ดังนั้น การศึกษากำหนดการสอบและวางแผนก่อนให้ดี ก็เพื่อให้น้อง ๆ สามารถจัดลำดับความสำคัญและวางแผนการเตรียมตัวทั้งหมดได้ง่ายขึ้น
2. ศึกษาสนามสอบและเส้นทาง
ในประเทศไทยมีศูนย์สอบ IELTS อยู่ด้วยกัน 2 แห่ง นั่นคือ British Council (ตัวแทนการจัดสอบจากสหราชอาณาจักร) และ IDP (ตัวแทนการจัดสอบจากประเทศออสเตรเลีย) โดยทั้งสองศูนย์จะจัดตั้งสนามสอบกระจายอยู่ตามจังหวัดหัวเมืองต่าง ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือขอนแก่น เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าน้อง ๆ จะสะดวกเข้าไปทำการสอบของศูนย์ไหนและสนามสอบไหน
โดยในแต่ละสนามสอบ ก็จะมีเส้นทางการเดินทางไปสอบที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างสนามสอบในกรุงเทพมหานคร ที่แบ่งย่อยออกเป็นอีก 6 สนามสอบ ด้วยการเดินทางที่อาจเกิดการติดขัดจากสภาพการจราจรหนาแน่น กรณีน้อง ๆ เดินทางไปสอบเองก็ควรศึกษาเส้นทางที่สะดวกที่สุดมาก่อน หรือทดลองไปสำรวจเส้นทางเอาไว้ให้คุ้นเคยก่อนไปสอบจริง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้เราไปเข้าสอบสายได้ค่ะ
3. อุปกรณ์ไปสอบ
สิ่งที่น้อง ๆ ต้องเตรียมไปใช้ในวันสอบ คือ
- บัตรประชาชน หรือพาสปอร์ต (อย่างเดียวกับที่ใช้ในการสมัครสอบ) เพื่อใช้แสดงตัวตน
- ใบเสร็จรับเงิน (สำหรับศูนย์สอบ British Council)
- เสื้อกันหนาว เนื่องจากบางสนามสอบแอร์เย็นมาก
- น้ำดื่มบรรจุในขวดใส มีฝาปิด และไม่มีฉลาก เพื่อป้องกันการทุจริต
- ทางศูนย์สอบไม่อนุญาตให้น้อง ๆ นำเครื่องเขียนหรือหลักฐานอื่น ๆ ในการแสดงตัวเข้าสอบเลย และถ้าหากน้อง ๆ นำของที่นอกเหนือจากสิ่งที่ทางศูนย์สอบอนุญาตเข้าไปในห้องสอบ สามารถนำไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ที่จุดรับฝากของได้ แต่แนะนำว่าไม่ควรเป็นของมีมูลค่าหรือเสี่ยงต่อการสูญหาย
4. การแต่งกายไปสอบ
ในการไปสอบ IELTS น้อง ๆ สามารถแต่งชุดสุภาพไปสอบได้ แต่ทั้งนี้ ต้องเป็นชุดที่เราใส่แล้วไม่ลำบาก เช่น ไม่ควรเป็นชุดที่รัดแน่นจนเกินไป เพราะอาจทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัวเวลาสอบ หรือเป็นชุดที่มีเนื้อผ้าที่บาง เพราะในห้องสอบแอร์ค่อนข้างเย็น และยิ่งไปกว่านั้นถ้าเนื้อผ้าบางเกินไปก็อาจจะดูไม่สุภาพได้
5. การลงทะเบียนสอบ
เวลาการรับลงทะเบียนสอบ IELTS จะเริ่มต้นที่ 07:00 น. แนะนำให้น้อง ๆ มาถึงก่อนเวลาลงทะเบียนเข้าห้องสอบ 15-30 นาที เพื่อที่จะเผื่อเวลาให้เราได้เตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์จำเป็นให้พร้อมก่อนเข้าแถวลงทะเบียน
นอกจากนี้ ก่อนวันสอบจริงทางศูนย์สอบจะมีการส่งอีเมลรายละเอียดการสอบมาให้น้อง ๆ ดังนั้น น้อง ๆ ก็ควรอ่านรายละเอียดทั้งหมดให้เข้าใจ และที่สำคัญ ต้องจำเลข Candidate Number หรือเลขประจำตัวผู้สอบของตัวเองเอาไว้ให้ดี เพราะต้องใช้ในการลงทะเบียนก่อนเข้าห้องสอบ หากน้อง ๆ จำไม่ได้และต้องเปิดเอกสารตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ก็จะทำให้เสียเวลาแบบไม่จำเป็นนั่นเอง
6. การเข้าห้องน้ำ
หลังจากน้อง ๆ เข้าแถวลงทะเบียนสอบ IELTS และได้ทำการผ่านขั้นตอนนี้เพื่อเข้าห้องสอบแล้ว น้อง ๆ จะไม่มีโอกาสได้ออกมาเข้าห้องน้ำอีกเลย จนกว่าจะถึงพาร์ท Reading ที่ทางเจ้าหน้าที่อนุญาตให้ลุกไปเข้าห้องน้ำกับเจ้าหน้าที่ได้ถ้าเราจำเป็นจริง ๆ ดังนั้น ก่อนช่วงเวลาลงทะเบียนสอบ น้อง ๆ ควรต้องเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวของตัวเองให้เรียบร้อยทั้งหมดแบบ 100% เพื่อไม่ให้เราต้องมานั่งทรมานตัวเองตอนสอบหรือเสียเวลาไปเข้าห้องน้ำในช่วงเวลาสอบ เพราะเวลาสอบจะเดินอยู่ตลอดเวลา แค่เสี้ยววินาทีเดียวก็อาจจะทำให้เราทำข้อสอบไม่ทันได้
7. หลังเข้ามาอยู่ในห้องสอบ
เมื่อน้อง ๆ ผ่านด่านลงทะเบียนสอบและการตรวจสอบอุปกรณ์การเข้าห้องสอบเรียบร้อยแล้ว จะได้เข้ามานั่งอยู่ในโต๊ะสอบที่เป็นเลขที่ของเรา ก่อนอื่นให้เราตรวจสอบชื่อและ Candidate Number ของตัวเองให้ถูกต้อง หลังจากนั้น ให้น้อง ๆ ตรวจสอบหูฟัง และอุปกรณ์เครื่องเขียนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่หยิบจับหรือเปิดกระดาษข้อสอบดูก่อน และหากน้อง ๆ พบข้อผิดพลาดให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนสอบทันที
8. มาสายต้องทำยังไง
หากน้อง ๆ มาลงทะเบียนสอบสายเล็กน้อยหรือมาไม่ทัน 15 นาทีก่อนลงทะเบียนสอบ น้อง ๆ ก็จะยังสามารถต่อแถวลำดับท้าย ๆ เพื่อลงทะเบียนเข้าห้องสอบได้ เพราะช่วงเวลาการลงทะเบียนสอบจะอยู่ที่ประมาณ 30 นาทีหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งสำหรับน้อง ๆ ที่มาสายเล็กน้อย ก็จะไม่มีเวลาในการตรวจสอบอุปกรณ์ เข้าห้องน้ำ หรือจัดการตัวเองได้ทันเวลาเข้าแถวเหมือนกับคนที่มาก่อนเวลานั่นเอง
แต่ถ้าหากน้อง ๆ เดินทางมาถึงสนามสอบในขณะที่เพื่อน ๆ ทุกคนเข้าห้องสอบกันครบแล้ว หรือมีกรรมการสอบที่เริ่มอธิบายกฎกติกาในการสอบต่าง ๆ แล้ว น้อง ๆ ก็จะหมดสิทธิ์ในการสอบ IELTS รอบนั้นในทันที
9. ขาดสอบคืนเงินได้ไหม
สำหรับน้อง ๆ ที่ขาดสอบ IELTS หรือมาไม่ทันเวลาสอบ กรณีนี้ น้อง ๆ ไม่สามารถขอคืนเงินค่าสมัครสอบ IELTS ได้นะคะ แต่ถ้าหากน้อง ๆ ขาดสอบเนื่องจากกรณีพิเศษ เช่น การประสบอุบัติเหตุ รับราชการทหาร หรือเกิดการเจ็บป่วยขั้นรุนแรง น้อง ๆ จึงจะสามารถส่งใบรับรองแพทย์หรือยื่นเรื่องให้ศูนย์สอบพิจารณาได้ภายใน 5 วันหลังจากวันสอบได้ค่ะ หากคำร้องของน้อง ๆ ได้รับอนุมัติแล้วจะสามารถเลื่อนวันสอบ หรือได้รับเงินคืนโดยจะมีการหักค่าธรรมเนียมไม่เกิน 25% ของค่าสมัครสอบ
10. ผลสอบออกตอนไหน
ผลคะแนนสอบ IELTS แบบ Paper-based ใช้เวลา 13 วันหลังวันสอบ และผลคะแนนสอบ IELTS แบบ Computer-delivered ใช้เวลาประมาณ 3-5 วันหลังวันสอบ โดยน้อง ๆ สามารถตรวจผลสอบผ่าน IELTS Official Website ได้เลย
และในส่วนของผลการสอบฉบับจริง ทางศูนย์สอบจะดำเนินการส่งผ่านทางจดหมายมาให้น้อง ๆ ที่บ้าน และถ้าหากน้อง ๆ ไม่สะดวกรับผลการสอบเองที่บ้าน ก็สามารถเดินทางมารับผลสอบด้วยตัวเองที่บริติชเคาน์ซิล สยามสแควร์ได้เลย โดยแจ้งผ่านทางเจ้าหน้าที่ในวันที่น้อง ๆ สอบ และผลสอบ IELTS ที่น้อง ๆ ได้รับจะมีอายุ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่ระบุไว้ในผลสอบ
เรียน IELTS ที่ไหนดี ที่มีการันตี Band 6.0++ หากสมัครติว IELTS ที่ The Planner พี่ ๆ ทีมงานและแอดมินจะมีบริการสมัครสอบให้ เพียงแค่บอก วัน เวลา ที่ต้องการสอบได้เลย พร้อมทั้งมีคำแนะนำในการเตรียมตัวไปสอบแบบเต็ม ๆ และถ้าน้อง ๆ ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม หากมาติว IELTS ก็จะได้รับเซอร์วิสแบบครบวงจร ทั้งเรื่องเรียน IELTS ยังไงให้อัปแบนด์สูง และเรื่องยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ในฝัน มาที่เดียว The Planner Education มีครบ แถมเดินทางสะดวก ที่ The Mercury Ville ชั้น 3 อยู่ติด BTS ชิดลม ทางออก 4
อย่างที่รู้กันว่า IELTS และ SAT (Verbal) เป็นข้อสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษ แต่ถึงจะเป็นข้อสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษเหมือนกัน เนื้อหาที่ออกสอบนั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง น้อง ๆ ที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ในประเทศไทยหรือว่าต่างประเทศ ที่มีความจำเป็นจะต้องยื่นคะแนน SAT IELTS อาจจะกำลังสงสัยอยู่ว่าควรติว IELTS แยกกันกับติว SAT หรือว่าติว IELTS คู่กันกับติว SAT ไปเลย มาดูความแตกต่างของทั้ง 2 อย่างนี้ จะตัดสินใจง่ายขึ้น!
IELTS
IELTS ย่อมาจาก International English Language Testing System เป็นการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ (การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน) พาร์ทที่ทำคะแนนได้ยากที่สุดจะเป็นการอ่านและการเขียน
ในข้อสอบพาร์ทการอ่าน หรือ Reading น้อง ๆ อาจจะจำเป็นต้องรู้ศัพท์เทคนิคทางวิทยาศาสตร์ หรือการแพทย์เล็กน้อย เพราะบางทีโจทย์อาจจะหยิบบทความที่เป็น Academic มาออกข้อสอบกันเลยทีเดียว แถมโจทย์ยังยาว ทำให้เสียเวลาในการตีความและทำความเข้าใจ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผู้สอบจะเสียคะแนนเพราะว่าทำไม่ทันนั่นเอง
ถ้าน้อง ๆ กำลังหาคอร์สเรียน IELTS ที่ไหนดี คอร์สเรียน IELTS ที่ The Planner มีทริคการทำข้อสอบ IELTS แบบใช้เวลาน้อย และตอบได้แม่นยำ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Add LINE @theplanner
SAT
SAT ย่อมาจาก Scholastic Aptitude Test เป็นข้อสอบวัดความรู้ทางคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ โดยทางมหาวิทยาลัยจะใช้ผลคะแนน SAT เพื่อวัดความพร้อมในการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีความแตกต่างกับ IELTS ตรงที่ IELTS มีจุดประสงค์เพื่อวัดระดับภาษาอังกฤษทั่วไป ไม่ได้วัดความพร้อมการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ความแตกต่างระหว่าง SAT IELTS
ในข้อสอบ SAT Verbal จะเป็นการอ่านเชิงวิเคราะห์ และการแก้ไขหลักไวยากรณ์ให้ถูกต้อง จะแตกต่างจากข้อสอบ IELTS ที่จะเน้นความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ทดสอบความเข้าใจบทความภาษาอังกฤษทั้งแบบสั้นและบทความยาวในระยะเวลาที่จำกัด เนื้อหาการสอบของ SAT Verbal และ IELTS ก็เลยจะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้ถ้าหากน้อง ๆ ยังสงสัยอยู่ว่าติว IELTS พร้อม SAT ได้ไหม? อาจจะต้องพิจารณาจากเกณฑ์การรับคะแนนภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ ที่น้องอยากเข้าด้วยว่ารับคะแนนอะไร และเลือกติวอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือถ้าคณะนั้น ๆ ต้องการทั้ง 2 คะแนน ถ้าติวควบคู่กันไปก็จะทำให้มีความพร้อมไปสอบทั้ง 2 สนาม เพราะเทคนิคที่ใช้ในการติว IELTS และ SAT ก็จะแตกต่างกันไปตามรูปแบบข้อสอบนั่นเอง
คอร์สเรียน IELTS และคอร์สเรียน SAT ที่สถาบัน The Planner Education จะเน้นฝึกให้นักเรียนมีความคุ้นเคยกับข้อสอบมากที่สุด โดยจะตะลุยโจทย์ทุกรูปแบบที่อาจจะเจอในข้อสอบ พร้อมเก็งเทคนิคในการที่จะพิชิตคะแนนที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ และสามารถเข้ามหาวิทยาลัยอินเตอร์ที่ใฝ่ฝันได้ และเพื่อไปถึงจุดนั้น The Planner จึงใส่ใจนักเรียนทุกคน พร้อมวางแผนเส้นทางที่จะพานักเรียนให้ประสบความสำเร็จ
ติว IELTS แบบมีการันตีที่ The Planner มีการันตี IELTS Band 6.0 ขึ้นไป สำหรับน้อง ๆ ที่อยากจะอัปคะแนนสอบเพื่อยื่นเข้าคณะอินเตอร์ ติวเน้นเทคนิคลัดเพื่อใช้สอบโดยเฉพาะ โดยจะฝึกจากข้อสอบของจริงมากกว่า 20 ชุด หากสอบแล้วไม่ได้ Band 6.0 สามารถมาเรียนซ้ำได้ฟรี!
ข้อมูลที่ควรรู้ก่อนสอบและเรียน IELTS
IELTS หรือ International English Language Teaching System คือ ข้อสอบวัดระดับ ความรู้และความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของผู้ที่ต้องการศึกษาหรือทำงาน ที่ต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ผลคะแนนสอบ IELTS ที่ได้ จะสามารถใช้ยื่นเข้าเรียนหรือทำงานได้ทั่วทุกมุมโลก กว่า 140 ประเทศเลยทีเดียว
โดยการสอบ IELTS จะวัด 4 ทักษะด้วยกัน คือ การฟัง (Listening), การพูด (Speaking), การอ่าน (Reading), และการเขียน (Writing) โดย IELTS จะมีคะแนนเต็มทั้งหมดอยู่ที่ 9.0 คะแนน และ คะแนนรวมของทั้ง 4 ส่วนนั้นจะถูกคำนวณออกมาเป็นค่าเฉลี่ยอีกที โดยมีคะแนนเต็ม 9.0 เช่นกัน
IELTS มี 2 รูปแบบ
- Academic Module
การสอบรูปแบบนี้ จะเน้นการวัดระดับภาษาอังกฤษเชิงวิชาการเป็นหลัก จึงถูกใช้เพื่อยื่นศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ทั้งมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ - General Training Module
การสอบรูปแบบนี้ จะวัดความสามารถภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา เรียนหลักสูตรระยะสั้น ทำงาน หรือ ยื่นขอ Visa เป็นต้น
การสอบ IELTS แบบ Paper-Based Test และ Computer-Delivered Test เป็นอย่างไร?
ด้านความเหมือนของการสอบ
- ในการสอบ IELTS ทั้งแบบกระดาษและคอมพิวเตอร์ จะมีเนื้อหาการสอบทุกพาร์ทที่เหมือนกัน
- ในส่วนของ Speaking ก็ยังคงต้องสอบกับ Examiner เหมือนเดิม
ด้านความแตกต่างของการสอบ
- Listening Part แบบคอมพิวเตอร์สามารถเริ่มพิมพ์คำตอบลงได้เลยระหว่างการฟัง ส่วนการสอบแบบกระดาษจะเป็นการจดโน๊ตในกระดาษ
- ผลสอบ IELTS แบบคอมพิวเตอร์จะได้ผลเร็วกว่าในระยะเวลา 3-5 วันทำการ (บริติช เคานซิล) หรือ 5-7 วัน (IDP) ในขณะที่แบบกระดาษจะได้ผลสอบ 13 วันทำการ
- วันสอบ IELTS แบบคอมพิวเตอร์จะมีวันสอบให้เลือกมากกว่า
IELTS UKVI ใช้สำหรับการยื่นศึกษาต่อที่สหราชอาณาจักร ประเภท Visa Tier 4 โดยเฉพาะ สำหรับน้อง ๆ ที่ต้องไปเรียน Foundation เพื่อปูพื้นฐานก่อนเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย
โดยการสอบ IELTS และการสอบ IELTS UKVI จะมีความเหมือนกัน ทั้งในเนื้อหาการสอบและรอบสอบ เพียงแต่ผลสอบของ IELTS UKVI ที่ออกมาจะมีการรับรองจากกระทรวงมหาดไทยแห่งสหราชอาณาจักร
ทั้งนี้ แนะนำให้ผู้สอบตรวจสอบกับทางสถาบันหรือหน่วยงานที่ต้องการยื่นผล IELTS ก่อนการสมัครสอบให้ดีก่อน เพื่อป้องกันการเสียเวลา และเป็นการวางแผนค่าใช้จ่ายไปในตัว
ติดต่อสอบถามคอร์สการเรียน IELTS ได้ที่ 095-726-2666 หรือ LINE: @theplanner